Monday, November 05, 2007

One Moment In Time

Do you have a dream?
What do you feel when your dream come true?
May this reply any feel when you are flighting and seeing your destiny in front of your face.

<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
Whitney Houston
เนื้อเพลง: One Moment In Time
Each day I live
I want to be a day to give the best of me
I'm only one, but not alone
My finest day is yet unknown
I broke my heart for ev'ry gain
To taste the sweet, I faced the pain
I rise and fall, yet through it all this much remains
I was
.
One moment in time
When I'm more than I thought I could be
When all of my dreams are a heart beat away
And the answers are all up to me
Give me one moment in time
When I'm racing with destiny
Then in that on moment of time
I will feel, I will feel eternity
.
I will live to be the very best
I want it all, no time for less
I've laid the plans
Now lay the chance here in my hands
Give me
.
chorus
.
You're a winner for a lifetime
If you seize that one moment in time
Make it shine
Give me
.
choru

('-') ('-') ('-') ('-') ('-') ('-') ('-') ('-') ('-') ('-') ('-')

Monday, October 08, 2007

ทัศนะจากนานาชาติเรื่องความสุข: บทสรุปจากการประชุมเรื่อง ความสุขและนโยบายสาธารณะ (ตอนที่ 3)

โดย กนกพร นิตย์นิธิพฤทธิ์
สำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ (สพน.)
สำนักนายกรัฐมนตรี
จากประเด็นที่ว่า “อะไรสามารถนำไปสู่การเพิ่มและพัฒนาของสุขของประชาชน” และ “ทำอย่างไรจึงจะสามารถทำให้ประชาชนมีความสุขได้” ทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องหาคำตอบให้ได้ว่า สิ่งที่ได้ทำไปนั้นทำให้ประชาชนเกิดความสุขอย่างแท้จริงหรือไม่ คำถามเหล่านี้ นำมาสู่การศึกษาเรื่องปัจจัยที่มีผลต่อการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขของประชาชน โดยงานศึกษาที่ได้รับความนิยมในทางตะวันตกส่วนใหญ่จะเป็นการทดสอบโดยใช้เครื่องมือทางเศรษฐมิติ (Econometrics) มาประกอบการศึกษา อาทิเช่น งานศึกษาของ Richard A. Easterlin และอรณิชา สว่างฟ้า ได้ทำการศึกษาเรื่องความสุขและความพึงพอใจในด้านต่างๆ หรือ “Happiness and Domain Satisfaction” โดยค้นพบว่า ผลการทดสอบการรายงานความสุขที่เป็นอัตวิสัย (Subjective) เช่น ความพึงพอใจด้านการเงิน, ความพึงพอใจด้านสุขภาพ, ความพึงพอใจด้านงาน และความพึงพอใจด้านครอบครัว ไม่ได้มีผลแตกต่างจากการใช้ข้อมูลเชิงวัตถุวิสัย (Objective) ไม่ว่าจะแยกเป็นกลุ่มอายุ เพศ ระดับการศึกษา สถานภาพการสมรส ที่แตกต่างกัน ขณะที่ Bernard Van Den Berg ก็ได้เสนอประเด็นเรื่องสุขภาพและความสุขที่น่าสนใจว่า ในฐานะที่สุขภาพเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานในการมีความสุขของบุคคล ดังนั้น นโยบายสาธารณะด้านสุขภาพจะมีประโยชน์มากน้อยต่อประชาชน ขึ้นอยู่กับสถานะและลักษณะเฉพาะด้านสุขภาพของประชาชนในแต่ละสังคม

Paul Frijters และ Takayoshi Kusago ได้เสนอแนวคิดที่สอดคล้องกันว่า การใช้นโยบายที่แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นการเพิ่มความสุขของประชาชน แต่ในความเป็นจริงนโยบายเหล่านั้น ก็อาจกระทบปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อให้ความสุขของประชาชนเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม ตัวอย่างเช่น การสร้างถนนหนทางที่มากขึ้น แม้จะเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และนำมาซึ่งความสะดวกสบาย แต่การเดินทางของประชาชนมากขึ้น ก็ทำให้คนมีชีวิตที่อยู่กับครอบครัวน้อยลงและการไหลเข้าของการเป็นสังคมวัตถุนิยม เช่นเดียวกับประเด็นเรื่องการมีการศึกษาที่สูง แม้จะเพิ่มโอกาสของความสามารถในการมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ลดเวลาอยู่ร่วมกันในครอบครัวเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ จึงนำไปสู่ข้อเสนอที่ว่า นโยบายสาธารณะควรแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของแต่ละประเทศ โดยผู้ออกนโยบาย จำเป็นต้องประเมินว่า ประเด็นใดเป็นประเด็นที่ประชาชนของตนให้ความสำคัญ เพราะในความเป็นจริง แต่ละประเด็น (Domain) และปัจจัย (Factor) ก็อาจจะมีผลทั้งในทิศทางที่เกื้อกูลกัน ขัดแย้งหรือลดทอนความสุขของประชาชนก็เป็นได้

นอกจากนี้ Paul Frijters, Paolo Verme และนักเศรษฐศาสตร์อื่นๆ ยังได้เสนอประเด็นที่ว่า การเพิ่มขึ้นของรายได้ และความมั่งคั่ง ควรเพิ่มในกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย เพราะจะทำให้ความสุขรวมของประเทศเพิ่มขึ้นได้มากกว่าการเพิ่มขึ้นของคนที่มีรายได้ปานกลางถึงมาก เนื่องจากอรรถประโยชน์หน่วยสุดท้าย (Marginal Utility) ของคนที่มีรายได้น้อย จะมีมากกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ Richard Easterlin และ Robert A. Cummins ที่ว่า การเพิ่มขึ้นของรายได้ในสังคมตะวันตก ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขที่เพิ่มขึ้นเสมอไป นอกจากนี้ ข้อสรุปยังได้สนับสนุนแนวคิดเรื่องการลดลงของช่องว่างทางรายได้ ที่สอดคล้องกับการให้เหตุผลทางจิตวิทยาที่ว่า ความเท่าเทียมกันของรายได้ จะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความสุขทางอัตวิสัย (Subjective well-being) เนื่องจากบุคคลจะไม่รู้สึกแตกต่างกันในสังคม ดังนั้น นโยบายสาธารณะจึงควรให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องความเท่าเทียมกันทางรายได้ และปรับใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในชีวิตประจำวัน แก้ปัญหาความยากจน รวมทั้งการมีมาตรการที่ลด หรือกระตุ้นความอยากในการบริโภคอย่างฟุ่มเฟือยเกินความเหมาะสม เนื่องจากภายใต้กลไกทางจิตวิทยา เมื่อมีการรับรู้ด้านวัตถุมากเกินไปจะทำให้คนรู้สึก “จน” จากการเปรียบเทียบกับสิ่งที่เห็น และจะกระตุ้นความต้องการของบุคคล จึงทำให้ความสุขของคนลดลงนั่นเอง

ประเด็นการนำเสนอในระดับความร่วมมือของสากลที่น่าสนใจ ได้แก่ การเสนอของ Allister McGregor จาก University of Bath ประเทศอังกฤษ ที่ได้เข้ามาศึกษาวิจัยในประเทศไทย ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดย McGregor ได้นำเสนอประเด็นของการจัดทำเรื่องความสุขให้เป็นกรอบหนึ่งของนโยบายการพัฒนาระดับนานาชาติ จากเดิมที่เน้นแนวคิดของความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าเป็นหลัก รวมทั้งได้มีการเสนอให้มีการจัดตั้งกระทรวงพัฒนาความสุขอีกด้วย

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลลัพธ์ที่ได้จากงานประชุมสัมมนานานาชาติ เรื่องความสุขและนโยบายสาธารณะในครั้งนี้ โดยภายหลังจากการสรุปรวมรายงานวิจัยเสร็จสิ้น ประเทศไทยคงได้แนวคิดและทิศทางใหม่ รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้เพื่อการพัฒนาประเด็นเรื่องความสุขของประชาชน อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนานโยบายสาธารณะที่มีผลต่อการสร้างสังคมที่มีความสุขต่อไป

ทัศนะจากนานาชาติเรื่องความสุข: บทสรุปจากการประชุมเรื่อง ความสุขและนโยบายสาธารณะ (ตอนที่ 2)

โดย กนกพร นิตย์นิธิพฤทธิ์
สำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ (สพน.)
สำนักนายกรัฐมนตรี
ในปัจจุบัน การศึกษาเรื่องความสุขได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ภายหลังจากการเยือนประเทศไทยของเจ้าชายจิกมี วังชุก มกุฎราชกุมารแห่งภูฏาน หนึ่งในคำถามที่สำคัญสำหรับประชาชน โดยเฉพาะนักวิชาการ สำหรับเรื่องความสุข ก็คือ “ความสุขคืออะไร และวัดประเมินได้อย่างไร” จากการที่ “ความสุข” เป็นเรื่องใกล้ตัว แต่ยากในการเข้าใจ เพราะมีความจำเพาะเจาะจง และแตกต่างกันตามบุคคล ด้วยเหตุนี้ หลักแนวคิดและการวัดประเมินความสุข จึงค่อนข้างมีความสำคัญต่อกระบวนการศึกษาเพื่อพัฒนานโยบายสาธารณะที่เข้าถึงความสุขของประชาชน ถ้าจะแบ่งแนวคิดเรื่องความสุข เราสามารถแบ่งคร่าวๆ ออกเป็น 2 ขั้วแนวคิด คือ แนวคิดทางตะวันตกและแนวคิดทางตะวันออก

ความแตกต่างของสองขั้วแนวคิดนี้ก็คือ แนวคิดทางตะวันตกจะมีฐานความคิดมาจากหลักบริโภคนิยม (Consumerism) ขณะที่แนวคิดทางตะวันออกจะได้รับอิทธิพลทางหลักปรัชญา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงทำให้แนวคิดเรื่องความสุขจากทฤษฎีทางตะวันออก ไม่ได้อิงกับข้อสมมติฐานของการมีความสุข หรือความพึงพอใจในชีวิตจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้น

โดยแนวคิดสำคัญๆ ที่ถูกนำมาใช้กับการศึกษาเรื่องความสุข (Happiness หรือ Subjective well-being), ความอยู่เย็นเป็นสุข หรือกินดีอยู่ดี (Well-being) ได้แก่ แนวคิดโอกาสในการสร้างความสามารถ หรือ Capability Approach ของ Amartaya Sen ที่ได้อธิบายความสามารถว่าเป็นปัจจัยสำคัญของมนุษย์ที่จะแปรเปลี่ยนเป็นรายได้ หรือการถือครองทรัพย์สิน แต่อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ ประกอบไปด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ 2 องค์ประกอบคือ การปฏิบัติภารกิจ (Functioning) และความสามารถ (Capability) โดยทั้งสองปัจจัยจะต้องเกื้อกูลกัน ตัวอย่างเช่น การที่บุคคลมีรายได้สูง หรือมีความสามารถในการเข้าถึงโอกาสการมีรายได้ที่มาก หากแต่ก็มีแนวโน้มของการเจ็บปวด หรือการพิการในชีวิต หรือก็คือการมีแนวโน้มที่จะขาดปัจจัยพื้นฐานในการปฏิบัติภารกิจ ก็จะถูกมองว่า บุคคลนั้น อาจไม่ได้สบายดี หรือมีความสุขจากการมีรายได้สูงของเขา เป็นต้น

นอกจากนี้ แนวคิดอรรถประโยชน์ประสบการณ์ หรือ Experienced Utility ที่เสนอโดย Daniel Kahneman ถูกนำมาใช้เพื่อสนับสนุนประเด็นการวัดและประเมินเรื่องความสุข และสิ่งที่เป็นนามธรรม ด้วยการพัฒนาหลักพฤติกรรมทางจิตวิทยา ได้แก่ การปรารถนา (Aspiration) ความคาดหวัง (Adaptation) และการเปรียบเทียบกับสังคม (Social Comparison) กับแนวคิดจากอรรถประโยชน์ (Utility) โดยมีข้อสมมติฐานทางเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญว่า การคิดวิเคราะห์เป็นช่วงเวลา (duration) และความไม่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา (Time Neutrality) ตัวอย่างเช่น ในสองเหตุการณ์ที่มีช่วงเวลาเท่าๆ กัน แม้ว่าเหตุการณ์ที่หนึ่ง จะเกิดเรื่องที่ไม่ดีก่อน แล้วเกิดเรื่องที่ดีตามมา ก็ไม่ได้หมายความว่า โดยรวมแล้วเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่ดี และขณะที่เหตุการณ์ที่สอง แม้จะเกิดเรื่องดีก่อนแล้วเกิดเรื่องที่ไม่ดี ก็ไม่ได้หมายความว่า เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดี เพราะถ้าทำการวัดประเมินอรรถประโยชน์โดยรวม ในแต่ละจุดของเวลาในทั้งสองเหตุการณ์ดังกล่าว แล้วพบว่า อรรถประโยชน์โดยรวมเท่ากัน เมื่อนั้น อรรถประโยชน์ของทั้งสองเหตุการณ์จึงไม่แตกต่างกันตามช่วงเวลานั่นเอง

ในส่วนของทฤษฎีพุทธเศรษฐศาสตร์ และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวคิดที่มองความสุข จากการลดความทุกข์ หรือเหตุแห่งความทุกข์ โดยใช้หลักมัชฌิมาปฏิปทาทางพุทธศาสนา จุดเด่นของแนวคิดนี้จะกล่าวถึงการดำรงชีวิตอย่างพอประมาณและมีเหตุผล โดย “ปัญญา” เป็นหลักการที่สำคัญของการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขภายใต้แนวคิดของพุทธเศรษฐศาสตร์ นอกจากนี้ “พุทธเศรษฐศาสตร์ยอมรับความสุขจากการเสพ แต่จะต้องเป็นการเสพด้วยความสำรวมคือ ต้องไม่เบียดเบียนตนเองและไม่เบียดเบียนผู้อื่น (เช่นเดียวกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง)” (อภิชัย พันธเสน, 2548) ขณะที่แนวคิดเรื่องความสุขมวลรวมประชาชาติ (GNH) จะมีความเชื่อเบื้องหลังที่ว่า ความสุขคือเป้าหมาย หรือความต้องการสูงสุดในชีวิตของมนุษย์แต่ละคน ดังนั้น ถ้าการพัฒนาประเทศจะเน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลางแล้ว การพัฒนาก็ควรจะนำไปสู่การบรรลุความพึงพอใจของมนุษย์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยแนวคิดนี้ มี 4 หลักการที่สำคัญ คือ การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมอย่างยั่งยืนและเสมอภาค, การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม, การรักษาและส่งเสริมวัฒนธรรม และการส่งเสริมการปกครองที่ดี

ประเด็นการวัดและประเมิน (Measurement) นั้น Robert A. Cummins ได้เสนอแนวคิดที่ว่า คุณภาพชีวิตที่ดีประกอบด้วยเงื่อนไขทางวัตถุวิสัย (Objective conditions) และมุมมองทางอัตวิสัย (Subjective perceptions) โดยความอยู่ดีมีสุขทางอัตวิสัยเป็นสภาวะทางจิตใจที่เป็นบวก และเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของชีวิตทั้งหมดที่สามารถให้ค่าคะแนนออกเป็นจำนวนระดับความพึงพอใจของชีวิตโดยรวมจากปัจจัยทั้งหมด (Domains) ส่วนวิธีการหรือเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการวัดประเมินการศึกษาเรื่องความสุข และความพึงพอใจ ก็คือ วิธีการรายงานด้วยตนเอง หรือ Self-Report method เป็นการสอบถามความรู้สึกพึงพอใจ หรือความสุขของบุคคลในระดับต่างๆ เช่น 1-3, 1-4, 1-5, 1-7, 1-10 หรือ 1-11 จากลำดับความไม่พึงพอใจสูงสุด คือ “1” ไปถึงลำดับความพึงพอใจสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น “3”, “4”, “5”, “7”, “10” หรือ “11” วิธีการศึกษานี้ ได้รับการสนับสนุนจากการทดลองทางจิตวิทยาถึงความมีเสถียรภาพของผลการรายงานความพึงพอใจของบุคคล

ขณะนี้ได้มีความพยายามจากหลายองค์กรในการศึกษาพัฒนาวิธีการวัดประเมินสิ่งที่เป็นนามธรรมในประเด็นต่างๆ อาทิเช่น องค์กรความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD ที่ทำการศึกษาเรื่อง การวัดความก้าวหน้าของสังคม หรือ “Measuring the Progress of Societies”, คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิกแห่งสหประชาชาติ (UNESCAP) ก็ได้มีการนำเสนอประเด็นเรื่อง “Green Growth Concept” และสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ที่เสนอเรื่อง “Green and Happiness Index” เป็นต้น

(ติดตามตอนต่อไป ปัจจัยที่นำไปสู่การมีความสุขกับนโยบายสาธารณะ)

ทัศนะจากนานาชาติเรื่องความสุข: บทสรุปจากการประชุมเรื่อง ความสุขและนโยบายสาธารณะ (ตอนที่ 1)

โดย กนกพร นิตย์นิธิพฤทธิ์
สำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ (สพน.)
สำนักนายกรัฐมนตรี
“ความสุข” เป็นคำง่ายๆ แต่กลับมีความซับซ้อนในการนิยามให้ครอบคลุม เพราะความสุขมีความเป็นนามธรรม และแตกต่างกันตามบุคคล แต่อย่างไรก็ตาม ความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนไขว่คว้า ซึ่งภายหลังจากการใช้นโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยอิงหลักรายได้ และตัวชี้วัดเชิงปริมาณ กลับพบว่า ไม่สามารถสะท้อนประเด็นเรื่องความพึงพอใจในชีวิต (Life Satisfaction) ของคนได้เท่าที่ควร ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยอิงประเด็นเรื่องความสุขของประชาชน อาทิเช่น Gross National Happiness (GNH) ของภูฏาน และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ ๑๐ เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขในสังคมไทย แนวคิดและการศึกษาเรื่องความสุขได้มีการพัฒนาออกไปเป็นวงกว้าง ทั้งในประเทศแถบตะวันตกและตะวันออก จากพัฒนาการที่ได้เปลี่ยนผ่านจากเดิมที่ใช้แนวการคิดวิเคราะห์เพียงศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งมาเป็นการวิเคราะห์โดยองค์รวม กล่าวคือ มีความพยายามผสมผสานแนวคิดทางจิตวิทยามาช่วยในการอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ในงานศึกษาทางเศรษฐศาสตร์ หรือการนำแนวคิดทางประสาทวิทยา (Neuroscience) มาช่วยอธิบายความเป็นนามธรรมของความสุข ให้มีความเป็นรูปธรรม และมีความเป็นวิทยาศาสตร์และมีหลักการมากขึ้น

จากพัฒนาการต่างๆ ในงานศึกษาทางวิชาการ ได้นำไปสู่ความตื่นตัวเพื่อผลักดันนโยบายที่มีผลต่อความสุขของประชาชน โดยประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่ตื่นตัวและให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ จึงเกิดความพยายามในการพัฒนาตัวชี้วัดความอยู่เย็นเป็นสุขของสังคมไทย (Green and Happiness Index) ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ที่หวังผลมากกว่าแค่การวัดและประเมินความสุขของประชาชน หากแต่ยังหวังถึงการผลักดันด้านนโยบายที่จะนำไปสู่การมีสังคมที่อยู่เย็นเป็นสุข หรือการประชุมนานาชาติเรื่องความสุขและนโยบายสาธารณะ (Happiness and Public Policy International Conference) ที่จัดขึ้นในวันที่ 18-19 กรกฎาคม 2550 ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ (UNCC) ของสำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ร่วมกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิกแห่งสหประชาชาติ (UNESCAP) และภาคีอื่นๆ เช่น สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT), องค์กรความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) รวมทั้งสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเป้าหมายหลักของการประชุมในครั้งนี้ ก็คือ ความพยายามพัฒนาและต่อยอดประเด็นคุณภาพของนโยบาย ผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนความคิดทางวิชาการ

ประเด็นสำคัญที่ได้รับจากการประชุมนานาชาติในครั้งนี้ สามารถแบ่งภายใต้ข้อคำถามสำคัญได้แก่
1. ทำไมความสุขจึงสำคัญ
2. ความสุขคืออะไร และวัดประเมินได้อย่างไร
3. อะไรสามารถนำไปสู่การเพิ่มและพัฒนาของสุขของประชาชน และทำอย่างไรจึงจะสามารถทำให้ประชาชนมีความสุขได้

โดยในบทความนี้จะกล่าวเพียงแค่ว่า ทำไมเราจึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความสุข เพราะสัจธรรมหนึ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ ความสุข หรือการลดความทุกข์เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ เทคโนโลยีสารสนเทศถูกพัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่มนุษย์ สิ่งแวดล้อมถูกนำมาใช้เพื่อการบริโภคอย่างฟุ่มเฟือยภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบกลไกตลาด ดูเหมือนว่า ประชาชนน่าจะมีความสุขมากขึ้นจากระบบบริโภคนิยม (Consumerism) แต่ในความเป็นจริง ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุต่างๆ ไม่อาจเข้าถึงประเด็นเรื่องจิตใจของประชาชนได้เท่าที่ควร และแม้ว่ารัฐบาลหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายโดยตรงเองก็หวังอยากให้ประชาชนของตนมีความสุข และบรรเทาความทุกข์ให้กับประชาชน หากแต่ “ความสุข” เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนดั่งที่ได้กล่าวในข้างต้น ประกอบกับการไม่เข้าใจถึงนิยามของความสุขที่แท้จริง และไม่มีเครื่องมือที่ดีพอในการวัดและประเมินผลของนโยบายในเชิงนามธรรม “รายได้” จึงเป็นเสมือนตัวแทนสำคัญเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกใช้วัดประเมินความอยู่ดีมีสุข (Well-Being) ภายใต้แนวคิดที่ว่า การบริโภคที่เพิ่มขึ้นจะนำไปสู่ความอยู่ดีมีสุขที่มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน พัฒนาการในการวัดประเมินประเด็นที่เป็นนามธรรมก็ได้รับการช่วยเหลือจากการศึกษาทางจิตวิทยา ร่วมกับการใช้ระบบการคิดวิเคราะห์แบบองค์รวมในงานศึกษาเพิ่มขึ้น จึงทำให้การศึกษาเรื่องความสุขได้รับความสนใจและมีความเป็นไปได้อย่างมากในปัจจุบัน และจากเหตุผลในข้างต้นนี้ ทำให้สำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ (สพน.) จัดทำโครงการศึกษาและจัดประชุมนานาชาติ เรื่องความสุขและนโยบายสาธารณะขึ้น เพื่อพัฒนา และเพิ่มพูนคุณภาพของนโยบายสาธารณะต่อไป

(ติดตามตอนต่อไป ความสุขคืออะไร และวัดประเมินได้อย่างไร)

Sunday, July 15, 2007

....

Say Hi for my life
Be happy for a chance which lead me do my wish. This Wednesday and Thurseday "Happiness and Public Policy" Internation Conference will happen at United Nations Conference Center (UNCC). I can learn many things from this work. It's so surprise for me that can be a liaison in this conference because at first I would like only be a respondent.
I still do not look forward in my life, but at present I am so happy for doing my inspiration. It's enough for me.

Wednesday, June 27, 2007

3 things in your life

3 things in your life may be forgetten.....







Wish you can remember them....
































Saturday, June 16, 2007

what is life?

ในหลายๆ ครั้งในชีวิต เราได้นำรูปแบบการใช้ชีวิตของคนอื่นๆ มาเป็นรูปแบบชีวิตของเราบ้างหรือเปล่า
....... เรียนในที่ดีๆ เมื่อเรียนจบ ก็พยายามหางานดีๆ ทำ หาตังค์ให้ได้เยอะๆ ภายใต้ความเชื่อว่า ถ้ามีตังค์เยอะๆ แล้วอาจจะทำให้เรามีความสุขในชีวิตมากขึ้น
....... เราวิ่งกันไปเรื่อยๆ และเรื่อยๆ ไปอย่างไม่รู้ว่าเราจะไปไหน บ้างก็หวังว่า วันหนึ่งจะดัง วันหนึ่งจะรวย คำถามสำคัญที่เกิดขึ้นมาในหัวโดยทันทีก็คือว่า อะไรที่เรียกว่า ดัง และเท่าไรที่เรียกว่า รวย
....... เราจะมีเหตุผลสนับสนุนการกระทำของตัวเองเสมอๆ ว่า ทำไมเราถึงต้องเอา เอามาเป็นของๆ เราให้มากที่สุด เราเคยสังเกตไหมว่า ในหลายๆ ครั้ง เราพบว่า วันนี้เราอยากจะได้อันนี้ เพราะอย่างนี้ พอเราได้มันมา เราก็จะเอาอีกอย่างนี้ เพราะอย่างนี้ ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด
....... ในกระบวนการเพื่อให้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นมา เราได้ทำการบริโภคทรัพยากรธรรมชาติไปเท่า หลังจากการที่เราได้เบียดเบียนธรรมชาติแล้ว เราก็ทำการเบียดเบียดมนุษย์ด้วยกันหรือเปล่า เบียดเบียนภายใต้เหตุผลของเรา แต่เราเคยคิดไหม ว่าสิ่งต่างๆ ที่เราทำนั้น มันได้เบียดเบียนคนอื่นๆ แล้วคนเหล่านั้น เคยทุกข์เพราะการกระทำของเราบ้างหรือเปล่า

....... ใครเคยมีความฝันในวัยเด็ก ฝันว่า วันหนึ่งเมื่อฉันเติบโตขึ้น ฉันจะเป็นอะไร ฉันจะทำอะไร แล้วเมื่อเวลาผ่านไป ภาระหน้าที่ ความรับผิดชอบต่างๆ ได้ผ่านเข้ามา เราได้ลืมสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไปหรือเปล่า ลืมว่าครั้งหนึ่งในอดีต เราได้เคยสัญญาอะไรไว้กับตัวเอง มีใครบ้างไหนที่ฝันว่า โตขึ้นอยากจะเป็นซุปเปอร์แมน เพื่อจะได้พิทักษ์โลก มันเป็นจินตนาการของเด็กๆ แต่วันนี้ มันอาจจะกลายเป็นเรื่องเพ้อฝันของใครหลายๆ คน ในความเป็นจริง การเป็นซุเปอร์แมน มันเป็นแค่ตัวละครที่ถูกอุปโลคขึ้น ของตัวแทนของการเป็นคนดี มีน้ำใจ ซึ่งแม้เราจะเป็นซุเปอร์แมนจริงๆ ไม่ได้ แต่ในนัยยะของซุเปอร์แมนนั้น เราเคยได้เป็นบ้างหรือเปล่า
....... มีใครบ้างไหม เคยคิดว่า สิ้นปีนะ ฉันอยากจะได้โบนัสหลายๆ เดือน อยากได้ขึ้นเงินเดือนสักเท่านี้ แล้วฉันจะมีความสุขมากๆ พอสิ้นปี ก็ได้อย่างที่คิด แต่แล้ว มันก็ยังไม่พอ พอปีถัดไป เราก็ปรารถนากันไปเรื่อยๆ จากแต่ก่อนเคยคิดว่า เท่านี้ละ ฉันก็มีความสุขมากพอแล้ว แต่แล้วพอมันไม่พอ ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างแตกต่างกัน เราก็ต้องทำงานมากขึ้นๆๆ เรื่อยๆ จนเราลืมไป ภายใต้เหตุผลต่างๆ เหล่านั้น คนที่เป็นส่วนหนึ่งในเหตุผลที่เราหยิบยกขึ้นมาเป็นเหตุผลสนับสนุนการกระทำของเรา จริงๆ แล้ว เค้าเหล่านั้น อยากได้หรือเปล่า หรือเราต่างหากที่อยากได้
....... มีคำถามหลายๆ อย่างปรากฎขึ้นมา เราจำเป็นต้องมีรูปแบบชีวิตเหมือนกันคนอื่นๆ ไหม ภายใต้เหตุผลสนับสนุนการกระทำ จริงๆ แล้ว เราทำเพื่อใครกันแน่ และสุดท้าย เราลืมความฝันของเราหรือเปล่า............
....... จริงๆ แล้ว ..........ชีวิต คือ อะไรกันแน่...............

Wednesday, June 13, 2007

แค่คนอีกคน

หลังจากวิทยานิพนธ์ได้จบสิ้นกันซะที ก็เป็นอันว่า จบแน่แล้ว วันนี้ก้อเป็นอีกวันที่อยากเขียน blog หลังจากเมื่อวานเซ็งๆ กับอาการฟุ่มซ่านส่วนบุคคล (อิอิ) วันนี้ก้อไม่มีอะไรมากมาย จิงๆ อยากจะเขียนเล่าเรื่องที่ได้ทำให้วิทยานิพนธ์นะ แต่ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีอารมณ์เท่าไร แต่อยากจะ up เพลงใส่ blog มากกว่า ดังนั้นแล้ว ไว้อยากเขียนเล่างานวิทยานิพนธ์ความสุขแล้วจะเขียนเล่าให้ฟังนะ เพื่อจะมีประโยชน์อะไรกับคนที่สนใจบ้าง แต่ตอนนี้อยากฟังเพลงมากกว่า อิอิ

Saturday, April 28, 2007

เจตนา กับการกระทำ

หลังจากนั่งปั่นวิทยานิพนธ์อย่างเมามัน มาตลอดหลายเดือน แล้ววันนี้ก้อยังเจอปัญหา run ไม่ sig อีก แม้จะใช้แค่ 3 ตัวแปร โดยตัวแปรสุดท้ายมี 3 dummy ปรากฎ sig เพียงแค่ dummy เดียว อ๋าว เอากันเข้าไป เต็มที่เลย เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจ แล้วจะจบกันไหมเนี้ย แต่ก้อยังไม่ยอมแพ้หรอกนะ (หุหุ) แม้จะรู้ว่า ปัญหาคือการกระจุกตัวของข้อมูลที่คนตอบบอกว่า พึงพอใจในชีวิตตัวเองมาก ถึงมากที่สุด ประมาณ 70% ซึ่งเราก็ทำอะไรกะมันไม่ค่อยได้เท่าไร เพราะปัญหาอยู่ที่ข้อมูล แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ เสียดายอะ เสียดาย เสียดายที่อุตส่าห์นั่งถอดทฤษฎีเป็นแรมเดือนแรมปี กว่าจะได้มันมา แต่ดันมีปัญหาที่ข้อมูลอีก อยากพิสูจน์สิ่งที่พยายามทำงานมาอะ อยากมากๆ แล้วจะทำยังไงดีละเนี้ย observations ก้อน้อย ตัด gray zone ออก เหลือ 348 เอง เส้าจิงๆ
.
...เฮ๋ย... อะอะ บ่นพอละ บ่นพอละ
.
ที่อยากจะเล่าก้อคือ หลังจากแอบงอนอาจารย์s ไปสักพัก วันนี้เอง อาจารย์s ทำให้เรามีกำลังใจมากที่จะทำงานต่อ (สู้ๆๆๆ) แม้ว่าในช่วงแรก จะโดนอาจารย์ดุด่าเป็นระยะๆ แล้วแต่ละคนก้อค่อนข้างเขี้ยวมากๆ ไม่บอกเราตรงๆ ต้องไปคิดเอง แล้วเอามาส่ง แล้วก้อไม่พอใจกันสักที (เฮ๋ย...เหนื่อยจัง) แต่เราพบว่า ทุกครั้งที่โทรไปนัดแก แกไม่เคยปฏิเสธเราเลย ok ตลอด จนล่าสุด เราก้อตั้งใจว่า ยังไงนะ จะ run ผลทั้งหมดทุกวิธีการ สลับตัวแปรเข้าออกๆ (จนได้ประมาณ 50-60 results) มาส่งแกวันศุกร์ แต่เราก็ไม่ได้โทรไปบอกแกล่วงหน้า เราโทรไปหาแกเช้าวันศุกร์เลย (ทำถูกไหมเนี้ย แต่เพราะกลัวทำไม่เสร็จแล้วนัด แล้วไม่มีงานไม่ส่งเนี้ย จะโดนๆๆ อีก)
.
รอบแรก เจ็ดโมงครึ่ง (หลังจากสะดุ้งตื่น เพราะกลัวหลับยาว เนื่องจากเพิ่งนอนตอนเกือบหกโมงเช้า) แกไม่รับ
เอาใหม่ แปดโมงเช้า...แกยังไม่รับ (เอาละงานนี้ ไม่ต้องนอนละ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว ถ้าวันนี้ นัดไม่ได้ ตรูตายแน่ วันสวด วันที่ 8 บ่ายโมงแล้ว เหลือเวลาอีกไม่ถึงสองอาทิตย์ งานเหลืออีกสองบทครึ่ง ตายๆๆ)
โทรใหม่ แปดโมงครึ่ง ตื้ด ตื้ด....ตื้ด แกยังไม่รับ (ทำไงดีอะงานนี้ เตรียมตัวเลย ไปมหาลัยด่วน แต่งตัวรอ โทรติดนะ ออกเลย เพิ่งแกว่างสักสิบห้านาที จะได้ไปทัน)
.
ระหว่างนั้น มีสายเข้า ตอนแปดโมงห้าสิบ...ไม่ได้รับ เพราะเปิดสั่น พอเห็นเท่านั้นละ ตายๆๆๆ ฉันทำอะไรเนี้ย ไม่ได้รับสาย อาจารย์โทรกลับ แล้ววันนี้จะได้คุยกันไหมเนี้ย ตายๆ (พอแม่รู้ โดนๆๆๆ เพราะเรื่องเปิดโทรศัพท์สั่น แล้วไม่รับ โดนมาหลายรอบแล้ว งานนี้ เลยสวดกันซะ ยาวเชียว)
.
รีบเลย รีบ โทรกลับ ด่วนๆๆ ...ตื้ด ตื้ด ตื้ด ตื้ด
อาจารย์: สวัสดีครับ... (โอ๋เสียงสวรรค์ คิดว่าจะไม่ได้คุยซะแล้ว)
mee: สวัสดีคะอาจารย์ วันนี้อาจารย์เข้ามหาลัยไหมคะ (ตุ๊บๆๆ)
อาจารย์: อืม เข้าคับเข้า ตอนบ่ายๆ
mee: ok คะ ยังงี้หนูขอเอางานไปให้อาจารย์ดูนะคะ
อาจารย์: คับๆ
(...ตุ๊ด ตุ๊ด...)
.
เอาละไปมหาลัยเดี๋ยวนี้เลย
mee:สวัสดีคะ มาพบอาจารย์คะ
officer: วันนี้อาจารย์ไม่เข้านะ เพราะอาจารย์มีประชุมต่างจังหวัด เพิ่งไปเมื่อวานตอนเย็นๆ เอง
mee: อ๋าว แต่โทรคุยกะอาจารย์เมื่อเช้านี้เองนะคะ
officer: อ๋าวหรือ ยังงั้น เดี๋ยวอาจารย์คงมามั่งคับ เดี๋ยวลองมาดูใหม่นะ
.
ตอนแรกคิดว่า อาจารย์น่าจะมาสักสี่ห้าโมงเย็น ชัวร์ ปรากฎไม่ใช่ อาจารย์มาตั้งแต่บ่ายสองกว่าๆ
โห๋ เราเนี้ย อึ้งไปเลย ซึ้งมากๆ แม้จะโดนอาจารย์ดุบ้าง แต่สิ่งที่อาจารย์ทำ มันให้คุณค่ามากกว่าคำพูดเยอะเลย มันได้ใจมากๆ เลย จิงๆ ปกติเวลานัดให้อาจารย์มาดูงานให้เนี้ย อาจารย์เองมีประชุมทั้งเช้าและบ่ายเสมอๆ แต่ก้อยังอุตส่าห์ขับรถเข้ามหาลัยมาดูให้ตอนเที่ยงๆ แค่นี้ ก้อซึ้งแล้ว (จิงๆ เขาอาจจะมีงานอื่นๆ ด้วย แต่ไม่ว่า อะไร แค่นี้ ก้อได้ใจมากๆ เลย)
.
เรื่องนี้ มันทำให้นึกถึงเรื่องที่เพื่อนเคยเล่าให้ฟังว่า เพื่อนบอกเขามาว่า คนเราอะสนใจแค่เจตนา กับการกระทำก็พอ ไม่ต้องสนใจคำพูดอะไรมากมายนักหรอก เพราะคนบางคน พูดดี พูดเพราะ พูดให้เข้าหูคนอื่นไม่เป็น เราอาจจะไม่ชอบสิ่งที่เขาพูด แต่จิงๆ ถ้าเราดูสิ่งที่เขาทำเนี้ย มันมีค่ามากกว่าเสียอีก ขณะที่เราอาจจะชอบคนที่พูดดีๆ พูดเข้าหู พูดเพราะๆ แต่เจตนา กับการกระทำละ
.
ยังไง ก็ขอบคุณอาจารย์s ทุกคนมากๆ ที่ช่วงนี้ ใส่ใจดูแลม๊ากมาก และพยายามอยากให้จบ ภายใต้งานคุณภาพ (ตามมาตรฐานอาจารย์...โครต เหนื่อยเลย)
แต่ก้อสู้คะ ยังสู้อยู่ ขอบอก แล้วก้อทำใจไว้แล้วว่า วันสวด ที่จะต้องโดนสวดวันที่ 8 ตอนบ่ายโมงเนี้ย คงโดนไม่น้อยกว่า 200 คำถาม (comments-ด่า) ซึ่งถ้าน้อยกว่านั้น ก้อกำไรละ กำไร... สิ่งที่ตอนนี้ ต้องทำ ไม่เพียงแต่เขียนงานให้เสร็จ แล้วเตรียม present ทั้งภาษา (ที่ไม่ได้พูดนาน ก้อสำเนียงออกจะแปล๋งๆ) และเนื้อหา presentation อีกสิ่งที่ต้องหัดเตรียมไว้ด้วย (มีคนแนะนำมา) ก็คือ ...ไหว้... ไหว้คะ ไหว้สวยๆ นะคะ ไว้ขอโทษเวลาตอบคำถามไม่ได้ หรือเนื้อหาผิด หรือโดนๆๆ อะไรแบบนี้ ใครจะเก็บเอาไปใช้ ก็ไม่ห่วงห้ามนะ เตรียมไว้ๆ
.
เอาละวันนี้เล่าแค่นี้ละ ไว้มีอะไรใหม่ๆ หลังวันสวด แล้วจะมาเล่าต่อนะ อืม เกือบลืม ตอนนี้ ยังไม่รู้นะว่า สวด ศาลาไหน แต่ที่แน่ๆ ที่คณะชัวร์ ใครว่างๆ ไปนั่งฟังสวดเป็นเพื่อนกันก็ได้นะ จะได้รู้ว่า ไหว้สวยๆ ที่พยายามหัดอยู่เนี้ย มันจะสวยได้ใจขนาดไหน (อิอิ)

Sunday, April 01, 2007

Never Ever Give Up

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.
.
ชายคนหนึ่งเพิ่งจะมาพูดได้ตอนอายุ 4 ขวบ
ชายคนนั้น...เพิ่งจะมาอ่านหนังสือออกตอนอายุ 8 ขวบ
ชายคนนั้น...เคยถูกไล่ออกจากโรงเรียน
ชายคนนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนอาชีวะแห่งซูริค
ชายคนนั้น...เคยถูกอาจารย์ระบุว่า"สมองช้าไม่ชอบสังคมและล่องลอยอยู่ในความฝันอันโง่เขลาของตัวเองตลอดเวลา"
ชายคนนั้น...ชื่อ"อัลเบิร์ตไอสไตน์" บิดาแห่งปรมาณู
.
ชายคนหนึ่งเคยถูกปฎิเสธจากโรงเรียนเตรียมทหารเวสต์พอยต์
ชายคนนั้น...ลองสมัครใหม่ดูอีกที
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอีกครั้ง
ชายคนนั้น...พยายามเป็นครั้งที่สาม
ชายคนนั้น...ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน
ชายคนนั้น...ได้เป็นทหารสมใจ
ชายคนนั้น...เข้าไปอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่สองได้สำเร็จ
ชายคนนั้น...ชื่อ"นายพล ดักลาส แมคอาเธอร์"ผู้พิชิตแปซิฟิคแห่งสงครามโลกครั้งที่สอง
.

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ชายกลุ่มหนึ่งเป็นนักดนตรี
ชายกลุ่มนั้น...เคยถูกปฎิเสธจากผู้บริหารคนหนึ่งจากบริษัทเดคคาเรคคอร์ต้ง
ชายกลุ่มนั้น...ถูกปฎิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า"เราไม่ชอบเสียงเพลงของพวกเขาและกลุ่มนักดนตรีที่เล่นกีตาร์กำลังจะหมดสมัยแล้ว"
ชายกลุ่มนั้น...มีนามว่า"เดอะบีเทิลส์" สี่เต่าทองแห่งตำนาน
.
ชายคนหนึ่ง...เป็นนักกีฬา
ชายคนนั้น...เล่นบาสเกตบอลให้กับทีมโรงเรียนมัธยม
ชายคนนั้น...เคยถูกคัดออกจากทีมโรงเรียน
ชายคนนั้น...ชื่อ"ไมเคิลจอร์แดน"หนึ่งในนักกีฬาบาสเกตบอลที่ทำเงินมากที่สุดในโลก
.
ชายคนหนึ่ง...เป็นนักแต่งเพลงชาวเยอรมัน
ชายคนนั้น...สูญเสียความสามารถในการฟังลงเรื่อยๆ
ชายคนนั้น...หูหนวกสนิทเมื่อมีอายุได้46 ปี
ชายคนนั้น...ได้ใช้ช่วงเวลาบั้นปลายชีวิตประพันธ์เพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุด
ชายคนนั้น...ชื่อ"ลุดวิกฟาน บีโธเฟน" นักประพันธ์เพลงชื่อก้องโลก
.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.

.
.
ชายคนหนึ่งสอบตกประถม6
ชายคนนั้น...เคยมีชีวิตที่พ่ายแพ้และล้มเหลวมาตลอด
ชายคนนั้น...ล้วนทำประโยชน์ครั้งใหญ่ๆเมื่อเขากลายเป็นผู้สูงอายุแล้ว
ชายคนนั้น...ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษเมื่ออายุ62 ปี
ชายคนนั้น...ชื่อ "วินสตัน เชอร์ชิล" อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ
.
ชายคนหนึ่งเรียนปริญญาตรี
ชายคนนั้น...เคยถูกจัดให้เป็นแค่นักศึกษาระดับกลางเท่านั้น
ชายคนนั้น...เคยสอบได้อันดับที่15 จากนักศึกษา 22 คนในวิชาเคมี
ชายคนนั้น...ชื่อ "หลุยส์ ปาสเตอร์"
.
ชายคนหนึ่งเป็นนักร้อง
ชายคนนั้น...เคยถูกผู้จัดการของ แกรนด์โอเลโอเพรย์ไล่ออก
ชายคนนั้น...เคยโดนดูถูกว่า"แกมันไปไม่ถึงไหนเลยแกควรกลับไปขับรถบรรทุกมากกว่า"
ชายคนนั้น...ชื่อ"เอลวิสเพรสลีย์"
. .
หญิงคนหนึ่งเป็นนางแบบผู้เปี่ยมไปด้วยความหวัง
หญิงคนนั้น...ทำงานให้กับบริษัทบลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่
หญิงคนนั้น...เคยโดนผู้อำนวยการบริษัทบลูบุ๊คโมเดลลิ่งเอเจนซี่ดูถูกว่า"เธอควรไปเรียนด้านเลขาฯหรือไม่ก็แต่งงานเสียดีกว่า"
หญิงคนนั้น...ชื่อ นอร์มา จีน เบเกอร์หรือที่รู้จักกันในนาม"มาริลีนมอนโร" นั่นเอง
.
. .
.
.
.
.
.
.
.
.
..
.
.
.
.
.
.
.
.
..
.
.
.
.
.
.
ชายคนหนึ่ง หลงใหลวิชาการเงินอย่างมาก
ชายคนนั้น...ยื่นใบสมัครกับมหาวิทยาลัยธุรกิจฮาวาร์ดอันเลื่องชื่อ
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธในเวลาต่อมา
ชายคนนั้น...ไม่ยอมแพ้ เดินหน้าเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยธุรกิจโคลัมเบีย
ชายคนนั้น...สำเร็จการศึกษาชายคนนั้น...ปัจจุบันมีสินทรัพย์รวมกว่า44,000 ล้านเหรียญสหรัฐจากเงินลงทุนเพียง 100 เหรียญสหรัฐ
ชายคนนั้น...ชื่อ "วอเรนบัฟเฟตต์" นักลงทุนอัจฉริยะอภิมหาเศรษฐีอันดับสองของโลก
.
ชายคนหนึ่ง หลงใหลในคอมพิวเตอร์อย่างมาก
ชายคนนั้น...ชอบหมกตัวกับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ
ชายคนนั้น...ถูกเพื่อนมองว่า"สกปรก - บ้าคอมพิวเตอร์"
ชายคนนั้น...เคยเสนอซอฟแวร์ระบบให้กับ แอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น...ถูกปฎิเสธอย่างไม่ใยดีชายคนนั้น...ปัจจุบันคือผู้ให้การช่วยเหลือด้านเงินทุนกับ แอปเปิ้ลคอมพิวเตอร์
ชายคนนั้น...เคยถูก ไอบีเอ็ม มองว่า"แค่เด็ก"
ชายคนนั้น...ปัจจุบันเป็นผู้นำบริษัทซอฟแวร์ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลก
ชายคนนั้น...ชื่อ วิลเลี่ยมเฮนรี่ เกตส์ที่สาม หรือที่รู้จักกันในนาม"บิลล์เกตส์" ผู้ก่อตั้งไมโครซอฟต์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกผู้ถือครองสินทรัพย์กว่า 46,000 ล้านเหรียญ
..


.
.
.
.
.
.
.
.
..
.
.
.
.
.
..
..
.
.
.
.
.
.
เชื่อว่าทุกคนเคยแพ้
.
เชื่อว่าทุกคนเคยล้มเหลว
.
แต่คนแพ้ไม่ใช่คนที่ล้มเหลว
.
"คนล้มเหลว" คือ...คนที่ล้มเลิก...ต่างหาก
.


Friday, March 02, 2007

Love Message

สวัสดีจ้า ห่างหายไปนาน จนโดนแซวจาก pickmagadance ว่า "บล็อกร้าง ห่างรัก" (อิอิ) ขอแก้ตัวๆ ว่า ไม่ร้างๆ ยังรักกันอยู่ แต่ไม่ได้ up แค่นั้นเอง ด้วยเหตุนี้ ก้อเลยถือโอกาส up blog และฝากบอกเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชาว blog ว่า ไม่ได้ลืมนะ ยังคงคิดถึงอยู่เสมอๆ (อิอิ) แล้วเราคงได้เจอกันเร็วๆ นี้
.
.
p.s. นอกจากนี้ ส่งเพลงแทนใจมาให้ฟังกันนะจ้า หวังว่า คงแทนความรู้สึกที่มีได้นะ
.
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
.
บัวชมพู ฟอร์ด
เพลง: Love message

อัลบั้ม: Beautiful Moment
.
ก่อนอาจจะคิด อาจจะคิด คำว่ารักคงไม่สำคัญ
เท่ากับใจ เท่ากับใจ ใจที่เรามีกันและกัน
อย่าโกรธเลย อย่าโกรธเลย ที่ตัวฉันไม่ได้บอกไป
อาจจะลืม อาจจะเลือน ทำให้เธอต้องแอบน้อยใจบ่อย
และอาจจะคิดว่าเราไม่เคยรักกัน
.
อยากให้รู้ ฉันเคยบอกว่ารัก กับเธอหรือยัง
ให้ฉันบอกให้ฟังได้ไหม
แค่ขอได้บอกว่าฉัน ผูกพันเพียงไหน
ก่อนจะไกลกัน อยากบอกให้เธอฟัง ว่ารักเธอ
.
อาจจะดูช้า อาจดูช้า แต่ว่าคงจะไม่สายไป
ที่บอกเธอ ในวันนี้ วันที่เราต้องไกลห่างกัน
.
อย่าห่วงเลย อย่าห่วงเลย คำว่ารักไม่กลัวเส้นทาง
หากวันไหน ที่เธอเหงา ไม่ต้องกลัวว่าไม่ได้คิดถึงกัน
จะส่งความรักที่มีให้ไปทุกวัน
.
อยากให้รู้ ฉันเคยบอกว่ารัก กับเธอหรือยัง
ให้ฉันบอกให้ฟังได้ไหม
แค่ขอได้บอกว่าฉัน ผูกพันเพียงไหน
ก่อนจะไกลกัน อยากบอกให้เธอฟัง ว่ารักเธอ
.
อาจจะดูช้า อาจดูช้า แต่ว่าคงจะไม่สายไป
ที่บอกเธอ ในวันนี้ วันที่เราต้องไกลห่างกัน
.
อยากให้รู้ ฉันเคยบอกว่ารัก กับเธอหรือยัง
ให้ฉันบอกให้ฟังได้ไหม
แค่ขอได้บอกว่าฉัน ผูกพันเพียงไหน
ก่อนจะไกลกัน อยากบอกให้เธอฟัง ว่ารักเธอ
.
อยากให้รู้ ฉันเคยบอกว่ารัก กับเธอหรือยัง
ให้ฉันบอกให้ฟังได้ไหม
แค่ขอได้บอกว่าฉัน ผูกพันเพียงไหน
ก่อนจะไกลกัน อยากบอกให้เธอฟัง ว่ารักเธอ

Wednesday, February 14, 2007

Let's go V a l e n t i n e !

...วันวาเลนไทน์... วันที่ 14กุมภาพันธ์ ของทุกปี
.
.
ประวัติวันวาเลนไทน์ วันวาเลนไทน์นั้นมีมาตั้งแต่สมัยจักรวรรดิโรมัน ในกรุงโรมสมัยก่อนนั้น วันที่ 14 กุมภาพันธ์ จะเป็นวันเฉลิมฉลองของจูโน่ (Juno) ซึ่งเป็นราชินีแห่งเหล่าเทพและเทพธิ ดาของโรมัน ชาวโรมันรู้จักเธอในนามของเทพธิดาแห่ง อิสตรีและการแต่งงาน และในวันถัดมาคือวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ก็จะเป็นวันเริ่มต้นงานเลี้ยงของ Lupercalia การดำเนินชีวิตของเด็กหนุ่มและเด็กสาว ในสมัยนั้นจะถูกแยกจากกันอย่างเด็ดขาด แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีประเพณีอย่างนึง ซึ่งเด็กหนุ่มสาวยังสืบทอดต่อกันมา คือ คืนก่อนวันเฉลิมฉลอง Lupercalia นั้นชื่อของเด็กสาวทุกคนจะถูกเขียนลงในเศษกระดาษเล็ก ๆ และจะใส่เอาไว้ในเหยือก เด็กหนุ่มแต่ละคนจะดึงชื่อของเด็กสาวออกจากเหยือก แล้วหลังจากนั้นก็จะจับคู่กันในงานเฉลิมฉลอง บางครั้งการจับคู่นี้ ท้ายที่สุดก็จะจบลงด้วยการที่เด็กหนุ่มและเด็กสาวทั้งสองนั้นได ้ตกหลุมรักกัน และแต่งงานกันในที่สุด
.
ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง (Claudius II) นั้น กรุงโรมได้เกิดสงครามหลาย ครั้ง และคลอดิอุสเอง ก็ประสบกับปัญหาในการที่จะหาทหารจำนวนมากมายมหาศาลมาเข้าร่วมใน ศึกสงคราม และเขาเชื่อว่าเหตุผลสำคัญก็คือ ผู้ชายโรมันหลายคนไม่ต้องการ จากครอบครัวและคนอันเป็นที่รักไป และด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้จักรพรรดิคลอดิอุสประกาศให้ยกเลิกงานแต่งงานและงานหมั้นทั ้งหมดในกรุงโรม ถึงกระนั้นก็ตาม ยังมีนักบุญผู้ใจดีคนหนึ่งซึ่งชื่อว่า ท่านนักบุญวาเลนไทน์ (St.Valentine) ท่านเป็นพระที่กรุงโรมในสมัยของจักรพรรดิคลอดิอุสที่สอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์ และนักบุญมาริอุส (St.Marius) ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรเล็ก ๆ เพื่อช่วยเหลือชาวคริสเตียนที่ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้ และได้จัดให้มีการแต่งงานของคู่รักอย่างลับ ๆ ด้วย และจากการกระทำเหล่านี้เอง ทำให้นักบุญวาเลนไทน์ถูกจับและถูกตัดสินประหารโดยการตัดศรีษะ ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ประมาณปีคริสต์ศักราชที่ 270 ซึ่งถือเป็นวันที่ท่านได้ทนทุกข์ทรมานและเสียสละเพื่อเพื่อนมนุษย์
. .
ประวัติท่านนักบุญวาเลนไทน์
.
เซนต์วาเลนไทน์หรือนักบุญวาเลนไทน์นั้นเป็นพระที่อยู่ ในกรุงโรมระหว่างศตวรรษที่ 3 ในเวลานั้นกรุงโรมถูกปกครองโดยจักรพรรดิที่ชื่อว่า "คลอดิอุส" ซึ่งมีนิสัยชอบข่มเหงผู้อื่น ทำให้ไม่เป็นที่รักของประชาชน เท่าใดนัก จักรพรรดิคลอดิอุสต้องการสร้างกองทัพอันยิ่งใหญ่และหวังให้ชายชาวโรมันทั้งหลายอาสาสมัครเข้ามาเป็นทหารในการสงคราม แต่ก็ไม่มีชายคนใด จะกระทำตามนั้น จักรพรรดิคลอดิอุสจึงออกกฏหมายห้ามให้มีการแต่งงานหรืองานหมั้น ใด ๆ เกิดขึ้น ทำให้ประชาชนไม่พอใจรวมทั้งนักบุญวาเลนไทน์เองด้วย ในเวลาต่อมานักบุญวาเลนไทน์ได้จัดการแต่งงานให้กับคู่หญิงสาวหลายคู่ขึ้นอย่างลับๆ ถึงแม้ว่าจะมีการประกาศการใช้กฏหมายห้ามแต่งงานแล้วก็ตาม นักบุญวาเลนไทน์ยังคงรักที่จะทำพิธีเหล่านี้ โดยภายในงานนั้นจะมีเพียงเจ้าบ่าว เจ้าสาว และท่านนักบุญเท่านั้น พวกเขาจะกระซิบคำสาบานและคำอธิษฐานต่อกัน ในขณะเดียวกันก็ต้องคอยเงี่ยหูฟังเสียงการเดินตรวจตราของเหล่าทหารด้วย แต่แล้วคืนหนึ่ง ในขณะที่กำลังทำพิธีแต่งงานอย่างลับๆ อยู่นั้นเอง ท่านนักบุญวาเลนไทน์เกิดได้ยินเสียงฝีเท้าของทหาร แต่โชคดีที่คู่บ่าวสาวนั้นหนีออกไปจากโบสถ์ได้ทัน ในที่สุดนักบุญวาเลนไทน์จึงถูกจับขังคุกและถูกทรมาน อย่างแสนสาหัส ท่านพยายามให้กำลังใจตัวเองทุกๆ วัน และแล้ววันหนึ่งสิ่งวิเศษก็เกิดขึ้น เด็กหนุ่มสาวหลายคนมาที่คุกเพื่อจะมาเยี่ยมท่านนักบุญ พวกเขาโยนดอกไม้และกระดาษซึ่งเขียนข้อความต่างๆ เข้าไปทางช่องหน้าต่างของคุก พวกเขาต้องการให้นักบุญวาเลนไทน์รู้ว่า พวกเขาเองก็มีความเชื่อและศรัทธา ในความรักด้วยเช่นกัน หนึ่งในเด็กสาวเหล่านั้น เป็นลูกสาวของผู้คุม ซึ่งพ่อของเธอได้อนุญาติให้เธอเข้าไปเยี่ยมนักบุญ วาเลนไทน์ได้ในคุก บางครั้งพวกเขาจะนั่งคุยกัน นานนับชั่วโมง หล่อนช่วยให้กำลังใจท่านนักบุญ และเห็นด้วยกับการที่ท่านปฏิเสธกฏหมายห้ามการแต่งงานนั้น อีกทั้งยังสนับสนุนการแต่งงานอย่างลับ ๆ ของท่านนักบุญอีกด้วย
.
ในวันที่นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิตนั้น ท่านได้เขียนจดหมายไว้ฉบับนึงเพื่อเป็นการขอบคุณในมิตรภาพและคว ามจงรักภักดีของหญิงสาวผู้นั้น แล้วท่านนักบุญก็ลงท้ายจดหมายฉบับนั้นว่า " Love from your Valentine. " ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จึงมีประเพณีการแลกเปลี่ยนจดหมายรักซึ่งกันและกัน ในวันวาเลนไทน์ โดยจะเขียนขึ้นในวันที่นักบุญวาเลนไทน์เสียชีวิต คือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ปีคริสตศักราช 270 และปฏิบัติสืบต่อกันมาจนถึงปัจจุบันนี้ เพื่อเป็นการรำลึกถึงท่านนักบุญวาเลนไทน์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดของวันนี้คือ การมอบความรักและมิตรภาพให้แก่กันและกัน และทุก ๆ ครั้งที่ผู้คนต่างนึกถึง จักรพรรดิคลอดิอุส เขาก็จะจำได้ถึงวิธีการที่คลอดิอุสพยายามจะมาแทนที่หนทางของความรัก แล้วก็จะพากันหัวเราะ เพราะว่าพวกเขาต่างรู้ดีว่าความรักนั้น ไม่สามารถหาสิ่งใดมาทดแทนหรือแทนที่ได้เลย ธรรมเนียมที่ถือปฏิบัติกันในวันวาเลนไทน์
.
- หลายร้อยปีก่อนในประเทศอังกฤษ เด็ก ๆ จะแต่งตัวลอกเลียนแบบผู้ใหญ่ ในวันวาเลนไทน์ แล้วร้องเพลงจากบ้านหลังหนึ่งไปยังบ้านอีกหลังหนึ่ง ในเนื้อเพลงท่อนหนึ่งจะกล่าวว่า " Good morning to you, Valentine ; Curl your locks as I do mine --- Two before and three behind. Good morning to you, Valentine."
.
- ในประเทศเวลส์ ผู้ที่มีความรักและชื่นชมในงานช้อนไม้แกะสลัก จะทำการแกะสลักช้อนและมอบให้เป็นของขวัญในวันวาเลนไทน์ โดยจะสลักรูปหัวใจ และลูกกุญแจไว้บนช้อนนั้น ซึ่งมีความหมายว่า "คุณได้ไขหัวใจของฉัน" (You unlock my heart).
.
- เด็กหนุ่มสาวจะทำการเขียนชื่อคนที่ตัวเองชอบแล้วหย่อนไว้ในอ่าง หรือชาม แล้วหยิบขึ้นมาหนึ่งชื่อเพื่อดูว่าใคร จะเป็นคู่ของตัวเองในวันวาเลนไทน์ หลังจากนั้นก็จะเอาชื่อที่หยิบได้นี้มาติดไว้ที่แขนเสื้อเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ การทำเช่นนี้มีความหมายว่า คนๆ นั้น ต้องการบอกคนทั่วไปรู้ได้ง่ายๆ ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร
.
- ในบางประเทศ ผู้หญิงจะได้รับของขวัญเป็นเครื่องแต่งกายจากผู้ชาย แล้วถ้าผู้หญิงคนนั้นเก็บของขวัญชิ้นนี้เอาไว้ นั่นหมายถึงหล่อนจะแต่งงานกับเขา บางคนมีความเชื่อว่า ถ้าผู้หญิงคนใดเห็นนกโรบินบินผ่านเหนือศรีษะตนเองในวันวาเลนไทน ์ นั่นหมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับกะลาสีเรือ หรือถ้าผู้หญิงคนใดเห็นนกกระจอก หล่อนก็จะได้แต่งงานกับชายยากจนและจะมีความสุข และถ้าผู้หญิงคนไหนเห็นนก Goldfinch หมายถึงหล่อนจะได้แต่งงานกับมหาเศรษฐี
.
- ในบางประเทศจะมีการทำเก้าอี้แห่งรักขึ้นมา ซึ่งจะเป็นเก้าอี้ที่มีขนาดกว้าง ในครั้งแรกที่มีการทำเก้าอี้นี้ขึ้นมาก็เพื่อจะให้ผู้หญิงที่แต่งตัวในชุดราตรีนั่ง ต่อมาเก้าอี้แห่งรักนี้ได้ทำขึ้นเป็นสองส่วนและมักจะทำเป็นรูปตัวเอส (S) ซึ่งการทำเก้าอี้ทรงนี้จะทำให้คู่รักสามารถนั่งด้วยกันได้ แต่จะไม่ใกล้ชิดกันจนเกินไป
.
-บางธรรมเนียมในบางแห่งของโลก เด็กหนุ่มสาวจะนึกถึงชื่อของคนที่ตัวเองอยากจะแต่งงานด้วยประมาณห้าถึงหกชื่อ ในขณะที่ปอกเปลือกผลแอปเปิ้ลนั้นให้เป็นขดนั้น ก็ให้เอ่ยชื่อของคนที่นึกถึงออกมาจนกว่าจะปอกเปลือกแอปเปิ้ลได้ หมดผล และเชื่อกันว่า คนที่จะได้แต่งงานด้วยนั้นคือคนที่เอ่ยชื่อถึงในขณะที่ปอกเปลือกของแอปเปิ้ลได้หมดพอดี และในบางประเทศมีความเชื่อว่า ถ้าหากผ่าผลแอปเปิ้ลออกมาเป็นสองซีก แล้วให้นับเมล็ดข้างในดู แล้วก็จะสามารถรู้จำนวนบุตรในอนาคตได้
.



Thank for sweet music from
"
http://aziatik8x.free.fr/valentine/"
<bgsound src="http://aziatik8x.free.fr/music/Jim Brickman-My Valentine.wma">.

<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>

song: Valentine

by Jim Brickman

singer: Martina McBride

If there were no words, no way to speak, I would still hear you
If there were no tears, no way to feel inside, I'd still feel you

And even if the sun refused to shine,
Even if romance ran out of rhyme,
You would still have my heart until the end of time
You're all I need, my love, my valentine

All of my life I have been waiting for all you give to me
You've opened my eyes and shown me how to love unselfishly

I've dreamed of this a tousand times before
In my dreams I couldn't love you more
I will give you my heart until the end of time
You're all I need, my love, my valentine

And even if the sun refused to shine,
Even if romance ran out of rhyme,
You would still have my heart until the end of time
'Cause all I need is you, my valentine
You're all I need, my love, my valentine

Friday, February 09, 2007

วิ ธี ก า ร ห า คู่ แ ท้

ใกล้วันวาเลนไทต์เข้ามาแล้ว ตอนแรกว่าจะไม่ up blog จนกว่าจะทำงานส่งเสร็จ แต่อดใจไม่ไหว ขอเอาอะไรใส่สักหน่อยดีกว่า ก้อเลย เริ่มหาบทความอะไรสักอย่างจากเว็บ (ขโมยของเค้ามาอะ) แล้วก้อไปเจออยู่ web หนึ่งมีบทความ กลอน อะไรไม่รู้เยอะแยะไปหมดเลย ก้อเอาเลย เลือกๆ ตามด้วย Ctrl C + Ctrl V ซะ แล้วก้อจัดปรับให้สวยงาม เสร็จออกมาดังข้างล่างนี้ (อิอิ) ใครแวะมาอ่านมาชม ก้อ comments สักนิดจะได้เป็นกำลังใจที่จะหาอะไรมาใส่อีกเป็นระยะๆ (แต่ถ้าไม่ เม้นต์ ก้อไม่เป็นไรนะ เพราะก้อจะหาอะไรมาใส่อยู่ดี เนื่องจากอดไม่ได้ซะแล้ว เพราะต้องมั่นดูแลเอาใจใส่ กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตไปเรียบร้อยแล้วละ)
<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
...กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว... มีครูกับลูกศิษย์นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งใกล้กับสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ มีครูกับลูกศิษย์นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ซึ่งใกล้กับสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ ทันใดนั้น ลูกศิษย์คนหนึ่งก้อถามขึ้นมาว่า
.
ลูกศิษย์ : อาจารย์คับ ผมสงสัยจังเลยว่า เราจะหาคู่แท้เราเจอได้ไงคับ อาจารย์บอกผมหน่อยได้ไหม คับ?
อาจารย์ : (เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะตอบ) อืม มันเป็นคำถามที่ยากนะ ในขณะเดียวกันมันก็เป็นคำถาม ที่ง่ายเหมือนกันนะ
ลูกศิษย์ : (นั่งคิดอย่างหนัก) อืม?....งงอะไม่เข้าใจ
อาจารย์ : โอเค งั้น เธอลองมองไปทางนั้นนะ ตรงนั้นน่ะ มีหญ้าเยอะแยะ เลยใช่ไหม เธอลองเดิน ไปหาหญ้าต้นที่สวยที่สุด แล้วเด็ดมาให้ครูสิ ต้นเดียวเท่านั้นนะ แต่ว่า เวลาเธอเดินเนี่ย เธอต้องเดินไป ข้างหน้าอย่างเดียวนะ ห้ามเดินถอยหลัง เข้าใจไหม
ลูกศิษย์ : ได้เลยครับ จาน รอสักครูน่ะครับ (ว่าแล้ว ก้อวิ่งตรงไปยังสนามหญ้า)

.

หลังจากนั้นไม่นาน....

ลูกศิษย์ : ผมกลับมาแล้วครับจาน
อาจารย์ : อืม...แต่ทำไมครูไม่เห็นต้นหญ้าสวย ๆ ในมือเธอเลยหละ
ลูกศิษย์ : อ๋อ คืองี้ครับจาน ตอนที่ผมเดินไปแล้วผมเจอต้นหญ้าสวย ๆ เนี่ย ผมก้อก้อคิดว่า เออ เดี๋ยว ก้อคงเจอต้นที่สวยกว่านี้ ดังนั้นผมก็เลยไม่เด็ดมัน แล้วผมก็เดินไปเรื่อย รู้ตัวอีกที มันก็สุดสนามหญ้าแล้ว ครับ จะเดินกลับก้อไม่ได้ เพราะจานสั่งห้ามไว้

.
อาจารย์ : นั่นแหละ คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิตจริงหละ ... เรื่องนี้ต้องการที่จะสื่ออะไรกับเรา ต้นหญ้า ก็คือ คนที่อยู่รอบ ๆ ตัวคุณ ต้นหญ้าที่สวยงาม ก็คือ คนที่คุณชอบ หรือคนที่ดึงดูดคุณนั่นแหละ ส่วนทุ่งหญ้า ก็คือ เวลา ... เวลาที่คุณจะหาคู่แท้ของคุณ อย่ามัวแต่เปรียบเทียบ แล้ว คิดว่า คงจะมีที่ดีกว่านี้ เพราะถ้าคุณ มัวแต่ เปรียบเทียบ คุณจะเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ อย่าลืมว่า..."เวลาไม่เคยย้อนกลับ" ไม่ใช่แค่ความรักเท่านั้น เรื่องนี้ ยังสามารถใช้ได้กับ การหาคนที่จะมาทำงานร่วมกับคุณในชีวิต หรือ แม้กระทั่งงานที่เหมาะสมกับคุณ ดังนั้น มันจึงเป็นสัจธรรม ที่ว่า ..."จงรัก และ ไขว่คว้า โอกาสที่คุณมีในขณะนี้ อย่ามัวแต่เสียเวลา บางครั้งคนเราก็มีโอกาสเลือกแค่ เพียงครั้งเดียวเท่านั้น..."


Sunday, January 28, 2007

เคยชิน

นิทาน เรื่อง แฮม กับเนยแข็ง

ทั้งๆ ที่มนุษย์มีสติปัญญาไม่น้อย เราก้อยังเป็นสัตว์โลกที่ชอบทำอะไรตามความเคยชิน และไม่ค่อยยอมทิ้งแบบแผนพฤติกรรมเก่าๆ นิทานเรื่องนี้ จะยืนยันข้อนี้ได้ดี
.
มีอยู่วันหนึ่ง ลูกสาวกำลังดูแม่เตรียมจะอบแฮม

สักครู่หนึ่ง ลูกสาวก้อถามขึ้นว่า
"แม่คะ ทำไมแม่ต้องหั่นด้านหัวกับท้ายออกด้วย"
แม่ตอบว่า "ก้อแม่เห็นคุณยายทำอย่างนี้นะสิจ๊ะ"
ลูกสาว "แล้วทำไมล่ะคะ"
แม่ตอบ "ไม่รู้ซี ลองไปถามคุณยายแล้วกัน"

ทั้งคู่จึงไปหาคุณยายแล้วถามว่า "คุณยายคะ เวลาคุณยายเตรียมแฮม จะเอาไปอบเนี้ย ทำไมคุณยายต้องเฉือนปลายออกทั้งสองด้านด้วยล่ะคะ..."
"ก้อคุณยายเห็น แม่ของยายทำอย่างนี้นะสิ" คุณยายตอบ
"ทำไมล่ะคะ" เด็กน้อยยังถามอยู่
"ยายก้อไม่รู้สิ ลองไปถามคุณทวดก็แล้วกัน"

ทั้งหมดจึงพากันไปหาคุณทวด แล้วถามคุณทวดว่า
"คุณทวดคะ เวลาคุณทวดเตรียมแฮมจะเอาไปอบ ทำไมคุณทวดต้องเฉือนทั้งหัวทั้งปลายแฮมด้วยล่ะคะ"

"...อ้าว!..." คุณทวดตอบ "...ก็เพราะพิมพ์มันเล็กเกินไปน่ะสิ..."


บางทีเราก้อ หลงติดอยู่กับแบบแผนเดิมๆ ที่ถ่ายทอดกันลงมาหลายชั่วอายุคน และก้อวนเวียนอยูกับความเชื่อที่ล้าสมัยไปแล้ว ติดอยู่ในกรอบที่เรามองไม่เห็นโดยเราเองก้อไม่รู้ตัว กรอบเหล่านี้ คอยจำกัดไม่ให้เราคิดในแบบใหม่ๆ ดังอุปมาเรื่องต่อไปนี้


นิทาน เรื่อง หนูกับเนยแข็ง

กาลครั้งหนึ่ง ยังมีหนูอยู่ตัวหนึ่ง มันเป็นหนูธรรมดาๆ ไม่ได้ฉลาดอะไร เป็นพิเศษ แต่ชอบเนตแข็ง และมีความสามารถในการดมกลิ่นเนตแข็งเป็นเยี่ยม

อยู่มาวันหนึ่ง กลิ่นเนตแข็งชั้นดี ก้อตลบอบอวลไปทั่ว มันจึงลงนั่งยองๆ ทำจมูกฟุดฟิด แล้วก้อถามตัวเองว่า
"เอ๊ะ เนยแข็งอยู่ไหนนะ"

เบื้องหน้าของมันมีอุโมงค์อยู่ 4 ทาง มันรีบมุดเข้าไปในอุโมงค์ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดทันที
...ไม่มีเนยแข็ง...

มันก้อลองเข้าไปในอุโมงค์ที่ 2
...ก้อ ไม่มีเนยแข็ง...

มันจึงมุดเข้าไปในอุโมงค์ที่ 3
...ก้อยัง ไม่มีเนยแข็ง...

เอาละ เหลืออุโมงค์สุดท้ายแล้ว มันรีบมุดเข้าไป
นั่นไง เนยแข็งก้อนโต ดูน่ากินที่สุด แถมยังมีรสชาติอร่อยสมกับที่มีกลิ่นหอมเสียด้วย

วันต่อมา กลิ่นเนยแข็งโชยมาอีกแล้ว

มันรีบผลุบเข้าไปในอุโมงค์ที่ 4 ทันที เจอแล้วเนยแข็ง แล้วก้อ เช่นเดียวกับวันต่อมา ต่อมา และก้อต่อมา หนูตัวนี้มีความสุขที่สุด เพราะมันรู้ว่าจะหาเนยแข็งกินได้ที่ไหน

วันหนึ่ง มันได้กลิ่นเนยแข็งโชยมาอีกแล้น แต่ปรากฏว่า ไม่มีเนตแข็งอยู่ในอุโมงค์เดิม มันรีบวิ่งออกมาดูให้แน่ใจอีกครั้งว่า นี่ใช่อุโมงค์ที่ 4 หรือไม่ แล้วมันก้อวิ่งกลับเข้าไป แต่ก้อยังไม่มีเนยแข็งอีก มันวิ่งกลับออกมา และกลับเข้าไปอีกเป็นครั้งสุดท้าย ...ยังไม่มีเนยแข็งอีก!...

แต่เดี๋ยวก่อน ยังมีกลิ่นเนยแข็งอยู่นี่น่า เอ๊ะ หรือว่าอยู่ในอุโมงค์ที่ 3 มันวิ่งเข้าไปดู แต่ก้อ ไม่มีเนยแข็ง แล้วอุโมงค์หมายเลข 2 ละ ก้อไม่มีเนยแข็งอีก หรือว่า ...จะเป็นอุโมงค์หมายเลข 1...
"นี่ไงเจอแล้ว เนยแข็งอยู่ในอุโมงค์หมายเลข 1 นี่เอง"

แล้วมันก้อกินเนยแข็งอย่างเอร็ดอร่อย


มองในแง่หนึ่ง มนุษย์เราก้อเหมือหนูตัวนั้น คือเราได้กลิ่นเนยแข็ง เราเล็งและตั้งเป้าหมาย หลังจากค้นหาอยู่พักหนึ่ง เราก้อพบ อุโมงค์ที่มีเนยแข็ง และเนยแข็งก้ออร่อยจริงๆ แต่ถ้าอยู่มาวันหนึ่ง เนยแข็งเกิดไม่ได้อยู่ตรงที่เดิมอีกแล้วล่ะ เราก้อ ยังมุดเข้าไปในอุโมงค์เดิมอีกครั้ง สอดส่ายสายตาและดมกลิ่นหา แต่ก้อไม่มีเนยแข็ง เราลองหาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า

พอถึงจุดนี้ หนูก้อเริ่มลองเข้าไปดูในอุโมงค์อื่นๆ แล้วมนุษย์อย่างเราล่ะ ทำไม เรายังคงดันทุรังค้นหาอยู่ในอุโมงค์หมายเลข 4 ครั้งแล้วครั้งเล่า



<><><><><><><><><><><><><>



มาจากหนังสือเรื่อง
"YOUR MONEY OR YOUR LIFE" หรือ "เงินหรือชีวิต"


โดย โจโดมิงเกซ และวิคกี้ โรบิน (2006)


แปลโดย พล วงศ์พฤกษ์


บรรณาธิการ โดย นวลคำ จันภา





Thursday, January 25, 2007

คิดถึงจัง



ในยามหลับนอน
ขอให้เธอฝันดีเสมอไป
พบพานเรื่องราวดีดีในฝัน
ไร้คืนที่ฝันร้าย

ค่ำคืนที่เงียบงัน
ได้ดูดาวบ้างไหม
ความห่วงใยของฉันอยู่ที่นั่น
ทุกคราวที่เธอเฝ้ามอง

สายลมเย็นพัดผ่อนคลาย
หลับตาลงและฝันดี
คือปรารถนาของฉัน
ที่ไม่เคยจางไปกับวันเวลา
.
.
.
.
....อยากบอกว่า กำลังคิดถึงทุกๆ คนเลยนะ....

Tuesday, January 23, 2007

Tag ตัวเอง

หลังจากรออยู่นาน ว่าจะมีใครมา Tag เราไหม ซึ่งเราก้อคิดไว้แล้วละว่าจะเล่าเรื่องอะไร แต่ก้อรอแล้ว รอเล่า ไม่มีใครจะมา Tag ฉันเลยอะ (อึม อึ้ม เส้าจิงๆ) แต่ไม่เป็นไร ถ้ารอใครมา Tag เราก่อน คงไม่ได้เล่นเกมส์ นี้อีกเป็นแน่ เพราะ มันใกล้จะ out แล้วก้อว่าได้ ด้วยเหตุนี้แล้ว ข้าพเจ้าจะไม่รออีกต่อไป แต่จะขอเล่น โดยเริ่มจากตัวเอง (อิอิ ทำไปได้) เพราะอยากเล่นม๊ากมาก เนื่องจากอยากแอบอยากรู้ความลับของคนอื่นๆ (อิอิ)


เริ่มต้นจาก เรื่องแรกก้อคือ จำได้ว่า ตอนเด็กๆ ไม่มีใครคิดว่า เราอะ เป็นผู้หญิงสักคน เริ่มตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ก้อมีคนมาทักแม่ว่า "โอ๊ย ลูกชายหรือคะ น่ารักจังเลย" แป๋ว อยากจะบอกว่า เจ๊ๆ ฉันเนี้ย ผู้หยิ่ง นะยะ ไม่ใช่ผู้ชายยยย เท่านั้นยังไม่พอ อีกสาเหตุหนึ่ง ก้ออาจเพราะว่า เท่าที่จำความได้ ตอนเด็กๆ เนี้ย ไม่เคยได้ไว้ผมยาวเลย ซึ่งเมื่อมันบวกกับหน้ากลมดิ้ก เป็นซาลาเปาเนี้ย เอาเป็นดูกันไม่ได้เลย หลังจากที่ได้ทำการปฏิวัติสำเร็จไปหนึ่งครั้ง ตอน ปอเตรียม (ไม่รู้ว่า ใครได้เรียน เตรียมประถม ในตอนนั้นบ้างนะ) ได้ไว้ผมยาวเป็นครั้งแรก แต่แล้วก้อเหมือนสวรรค์ลงสาป เมื่อไปรับเชื้อ "..เหา.." จากเพื่อนคนหนึ่ง หลังจากนั้นแล้ว ตลอดประถมศึกษา ดิฉันเคยมีผมยาวเกินบ่าเลย หม่อมแม่จะทำการเฉียนผม ออกทุกครั้งที่มันเริ่มเข้าเลยติ่งหู (เส้าจิงๆ) ด้วยเหตุนี้ละมั่ง ดิฉันถึงเป็นผู้ชาย ที่ใส่กระโป่ง ไปโรงเรียน ตลอดประถมศึกษา ...เห๋ย เซ็ง... (อายจิงๆ)


เรื่องสอง ก้อคือ จำได้ว่า ครั้งแรกที่เริ่มอ่านหนังสือสอบเหมือนชาวบ้านเค้าเนี้ย ก้อประมาณ เทอมสุดท้ายของประถมหก ตลอดระยะเวลาการเริ่มต้นเข้าเรียนหนังสือตั้งแต่สองขวบกว่าๆ เนี้ย ไม่เคยอ่านหนังสือสอบเลย แต่ผลการสอบก้อกลางๆนะ แบบว่า ทั้งห้องสามสิบคน ช่วงป.1-ป.3 เนี้ย ก้อประมาณ ที่ยี่สิบ (ภาษาจีน) และ ประมาณที่สิบเศษ (ภาษาไทย) (อิอิ ทำไปได้) คือ โรงเรียนเป็นแบบ international Thai-Chinese อะ (คือแบบว่า ตอนนั้น จีนเป็นคอมฯ เราเนี้ยโดนเพื่อนบ้านล้อบ่อยๆ ว่า พวกคอมฯ โห่ ไม่ค่อยเลย) ครั้งแรกที่อ่านหนังสือสอบเนี้ยนะ มันยังเป็นภาพติดตาอยู่เลย ที่บ้าน และคนแถวบ้าน ค่อนข้างตกใจมากๆ เหมือนเป็นอะไรที่ไม่มีใครเคยเห็นก้อว่าได้ แม่กับอาม่าข้างบ้านเนี้ย ตกใจกันใหญ่ ดูแลเราอย่างดี หาของบำรุงร่างกายอย่างสุดๆ แต่ก้อทำได้อยู่ประมาณ ไม่ถึงอาทิตย์อะ ก้อเลิก (เพราะสอบเสร็จแล้ว)


เรื่องที่สามนะ คือเป็นเรื่องราวที่ว่าต่อมาจากเรื่องที่สองละ ไม่รู้ว่าจะมีใครเคยเจอแบบนี้ไหมนะ ตอนป.1 เนี้ย ยังอ่านหนังสือไม่ออกเลย แม่กลุ้มใจมาก เลยไปขอพบคุณครูประจำชั้น เพื่อขอให้ลูกสาวผู้สาวผู้น่ารักคนนี้ "เรียนซ้ำชั้น" คุณครูก้องงๆ เพราะปกติแล้ว ไม่ค่อยมีใครเค้าทำกันหรอก จำได้ว่า แม่ไปอ้อนวอนคุณครูอยู่นาน แต่ด้วยเดชะบุญคุ้ม อิอิ แม่ทำไม่สำเร็จ เราก้อเลยได้ขึ้น ป.2 ตามเพื่อนๆ ไป


เรื่องที่สี่ แม้จะเป็นเด็กดื้อและซนอย่างสุดชีวิต (แบบว่า ซนสุดๆ จนโดนตีเกือบทุกวัน) แต่กลับเป็นคนที่ทำกิจกรรมอะไรแล้วไม่รุ่งเอาซะอย่าง เริ่มต้นจาก การเล่นดนตรีไทย ตลอดมัธยมต้น จนในปีสุดท้าย ได้ไปรวมงานดนตรีไทย กับสมเด็จพระเทพฯ ที่โรงเรียนวัดสุทธิฯ ด้วยนะ แต่อายมากๆ เลย เพราะดนตรีที่เล่นได้เพียงอย่างเดียว ภายหลังจากการพยายามมาตลอดสามปี ก้อคือ อังกะลุง นั่นเอง ตอนแรกด้วยความที่คิดว่า เราเนี้ย ผู้หยิง ผู้หญิง ดังนั้น ต้องนี่เลย ..ขิม.. คะ ขิม เล่นไปเล่นมา ไม้ขินหัก ต้องไปซื้อมาใช้คืนรุ่นพี่เค้าอีก (เส้าจิงๆ) ยังๆ ยังไม่เลิกความพยายาม เล่นต่อด้วย ระนาดเอก และระนาดทุ้ม แต่แล้วเหมือน ฟ้าไม่เป็นใจ เมื่อหัวไม้ระนาดกระเด็นกระดอน ออกจากตัวไม้ เอาเลิกๆ เอาใหม่ ตามมาด้วย ฆ้องวง คะ ฆ้องวง ผลก้อคืน ลูกตะกั่ว มันหลุด เพราะตีแรงไปหน่อย แต่ก้อยังไม่ลดละความพยายาม จะบอกว่า ตีฉิ่ง ให้เข้าจังหวะเนี้ย ยังตีไปตีมา มันตีมือตัวเอง ก้อเลยเลิกลาซะกับวงการดนตรีไทย ในปีสุดท้าย ก้อมาหัดเล่นกีฬาคะ จะบอกว่า เคยไปแข่งด้วยนะ ได้เหรียญเงิน (เพราะแข่งกันสองคน) กีฬาที่ว่า ก้อคือ ยูโด คะ จำได้ว่า ซ้อมแบบสุดๆ ตื่นไปยิม ตั้งแต่แปดโมงเช้า กลับบ้านตอนสามทุ่ม ทุกวันตลอด summer แต่สุดท้าย ความฝันนี้ก้อสิ้นสุด เมื่อวันที่ได้ขึ้นท่าทุ่ม (ตอนแรกตั้งใจว่า จะเล่นไว้ ป้องกันตัว เวลาถูกเพื่อนแกล้ง จะจับมันทุ่มซะ) เพื่อนสุดรักของเรา มันดันเล่นไม่เซฟ เลย เราเนี้ย ขาฉีก จนต้องเข้าโรงพยาบาล ไปโรงเรียนไม่ได้ตั้งเกือบสองอาทิตย์ รวมทั้ง วันต่อมานั้น คือวันเข้าค่าย ปีสุดท้ายของมอต้น เราเลิกอดไป แล้วยังต้องมานั่งทำรายงานส่งอีก ซวยจิงๆ


เรื่องสุดท้าย จำได้ว่า ตอนแรกที่ไปปิ๊งรุ่นพี่คนหนึ่ง ตอนม.1 เนี้ย แบบว่า เขินอายแบบสุดๆ เอาประมาณว่า เดินเข้าใกล้ในระยะร้อยเมตรเนี้ย ทำตัวไม่ถูกเลย แล้วทุกครั้งที่นั่งรถผ่านหน้าบ้านเค้าเนี้ย เพื่อนๆ เนี้ยล้อซะ จนบิดตัวเป็น ขนมโตเกียวเลย อย่างเขินเลยน๋านะ (ตอนเนี้ย ไม่เป็นละ หน้ามันเริ่มด้านและทนขึ้นทุกวัน อิอิ)


อะ เราอะ เล่าแล้ว คนต่อไปที่เราอยากรู้ก้อคือ taswan, orawan, Muffin, Pao, teddyboy อย่าลืม Tag นะแล้วเราจะตามไปดู อิอิ (เล่ามาเลย ห้าเรื่อง)



Sunday, January 21, 2007

วาทกรรมเรื่องความสุข

เย้! เย้!! สุดท้าย ความพยายาม ก้อค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างแล้ว

ชีวิตฉันค่อยกลับเข้าสู่ชีวิตปกติหน่อย หลังจากเป็นคนเหม่อลอย มาตลอดสัปดาห์ จนมีเรื่องโก๊ะ โก๊ะ ให้ ขำๆ เริ่มต้นจากการยืนใจลอยในห้องสมุด จนบรรณารักษ์ต้องตะโกน ถามเป็นรอบที่สามว่า "ทำอะไรคะ" จึงดึงวิญญาณกลับคืนร่าง แล้วตอบไปว่า "ยือ ยืม หนังสือ คะ" ตามมาด้วย การแซว ว่า "เล่นมิวสิคหรือ มี่"และตบท้ายด้วย การฟังปล่อยในสมาชิกในครอบครัว พูดคนเดียว จนน้อง และแม่ เริ่มน้อยใจ ว่า เป็นไร ไม่ให้ความสนใจ รวมทั้ง เกือบตกบันได ชั้นสาม หน้าห้อง MA อีก (เพราะใส่รองเท้า คู่ใหญ่จัด เลยเหยียบเท้าตัวเองซะงั้น ดีนะ มีการเรียนรู้การทรงตัวที่ดี ไม่งั้นละ หมดสวยเลยงานนี้) เห๋ย...

คือ เรื่องมันเกิดจาก วิทยานิพนธ์ สุดเลิฟ เนี้ยละนะ ภายหลังจากการกลับไปเยี่ยม พี่ๆ เพื่อนๆ มา แล้ว ได้คุยกับพี่คนหนึ่ง ซึ่งเราเรียกการสนทนาครั้งนั้นว่า วาทกรรมแห่งความสุข (อิอิ อาจเข้าใจผิดนะ ไม่ได้หมายความว่า คุยกับ sb แล้ว Hap นะ) เค้าได้ให้ข้อคิดเห็น ภายหลังจากการพยายามอธิบายให้เค้าฟังว่า สิ่งที่เรียกว่า experienced utility ที่เราใช้เป็นหลักนั้น มันเป็น พัฒนาการของ Neo-classic หรือเปล่า ประเด็นมันไม่ใช่ว่า เป็นแล้วดีหรือไม่ดีนะ

แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เราอยากได้กรอบที่มีกลิ่นไอของวัฒนธรรมตะวันออก ในตัวของมันเอง เลยคิดว่า อืม ถ้าเป็นยังงี้แล้ว กรอบที่ถูกพัฒนาจากแนวคิดตะวันตก เนี้ยจะมีผลต่อมุมมองความสุขของคนตะวันออกไหม เพราะรากฐานความคิดมันแตกต่างกัน (คือ คิดไกลไปโน่น) แต่ก้อดีนะ เพราะจากความกังวลเนี้ย เราเลยพยายามหางานไทยๆ หรือแนวคิดตะวันออกต่างๆ ว่า มันต่างกันยังไง ในรากฐานคิด จนมึนหัวไปหมด

แล้วก้อต้องจบด้วยการ หาใครสักคนที่แบบว่า ใช่เลย เหยื่อละ มาคุยเรื่องนี้ กับฉันหน่อย ฉันจะเล่าให้ฟัง แสดงความคิดเห็นนิดดิ แล้วก้อไม่พ้น เพื่อนสุดเลิฟ อีกเช่นกัน ที่เวร ตา ระ กรรม ตกแก่มัน ต้องตื่นมารับโทรศัพท์ ตอนเที่ยงคืน ตีหนึ่ง แล้วถูกขอร้อง แกมบังคับ ให้สนทนา วาทกรรมเรื่องความสุข ต่อ อีกสักชั่วโมง ก่อนปล่อยมันไปนอน ซึ่งมันก้อดี ยังไม่ง่วง แต่ง้วงเงี้ย แบบสุดๆ จนหลังๆ เริ่มคุยไม่รู้เรื่อง แต่สุดท้าย ก้อได้จุดดุลยภาพ ของทั้งกรอบตะวันตก และกลิ่นไอตะวันออก อิอิ

แต่อย่างไรก้อตาม ก้อยังไม่รู้นะว่า มันจะหมู่ หรือ จา หรือว่า ศาลาวัด กันแน่ แต่ที่รู้แน่ๆ ต้องให้เสด็จพ่อ ตรวจ proof เสียก่อน แล้วต้องขาย idea ให้พระสหายของท่านฯ ยอมรับให้ได้ ข้าน้อยจึงจะมีความหวังที่จะมีชีวิตต่อไป อิอิ


p.s. This is Daniel Kahneman who created "experienced utility" and got 2002th Noble-prize.


Tuesday, January 16, 2007

ไร้กรอบ

จาก forward e-mail หนึ่งที่ได้รับมานั้น คนเขียนเขาให้ชื่อเรื่องนี้ว่า ..ไร้กรอบ..

เมื่ออ่านแล้วรู้สึกชอบมากๆ เพราะว่าเราได้ซาบซึ้งถึงกลิ่นไอของจิตวิญญาณบางอย่างที่ขาดหายไป ภายหลังการก้าวไปข้างหน้าของโลกทุนนิยม ที่ในแต่ละวันๆ เราต้องแข่งขันทั้งกับตนเอง และคนอื่น เพื่อให้ได้ไปเป็นคนๆ นี้ คนบนนั้น อะไรสักอย่าง แบบที่เราต้องการ เรื่องนี้ใครบ้างคนคงเคยได้อ่าน หรือได้ยินมาบ้างแล้วก้อเป็นได้ แต่มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่แสนประทับใจจึงอยากเอามาเล่าให้ฟังกัน (เผื่อว่า ยังมีใครไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง) เพราะความซาบซึ้งนี้ มันทำให้ได้สติ เพื่อจะเตือนตนเองอยู่เสมอๆ


เรื่องมีอยู่ว่า


***เคยได้ยินชื่อ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ ไหม??
เขาเคยเป็นวิศวกรขององค์การอวกาศนาซา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน

เคยได้รับรางวัลงานวิจัยที่ดีที่สุดระดับโลกเกี่ยวกับเครื่องยนต์ไอพ่น
ตัดสินใจกลับเมืองไทยเพราะ
1.อยากดูแลพ่อแม่
2.ไม่อยากเป็นพลเมืองชั้นสองในบ้านพักคนชรา
3.อยากเที่ยว และ
4.ชอบกินอาหารอร่อย

เคยเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก่อนจะออกมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาของตัวเอง
ประทับใจบทสัมภาษณ์ของ ดร.วรภัทรใน "เสาร์สวัสดี" ของ "กรุงเทพธุรกิจ "
เมื่อประมาณ 1-2 เดือนก่อนมาก
คนอะไรก็ไม่รู้ ชีวิตมันส์เป็นบ้า ความคิดก็กวนเหลือหลาย


ตอนที่เขาเป็นอาจารย์ วิธีการสอนหนังสือของเขาแปลกกว่าคนอื่น

"ผมออกนอกกรอบตลอดเวลา " เขาบอก
เขาเคยพาเด็กวิศวะไปที่ริมสระว่ายน้ำ เรียนไปและดูนิสิตสาว ๆ ว่ายน้ำไป
ด้วยคาดว่า คงไปเรียนเรื่อง "คลื่น"ระหว่างท่าฟรีสไตล์ กับท่าผีเสื้อ
คลื่นที่เกิดขึ้นของท่าไหนถี่กว่ากัน
และระหว่างชุดทูพีซกับวันพีซ "แรงเสียดทาน" กับน้ำ ชุดไหนมากกว่ากัน

แนวการศึกษาน่าจะออกไปทำนองนี้

แต่ที่ชอบที่สุดคือตอนที่เขาออกข้อสอบ ข้อสอบของเขาสั้นและกระชับมาก
"จงออกข้อสอบเอง พร้อมเฉลย"


โหย...เด็กวิดวะอึ้งกันทั้งห้อง
คำตอบส่วนใหญ่เป็นการตั้งโจทย์แบบง่ายๆ เช่น ปั้นจั่นมีกี่ชนิด

ผลปรากฎว่าได้ศูนย์กันทั้งห้อง
เพราะเป็นคำตอบที่ไม่ได้แสดงความคิดที่ลึกซึ้งสมกับที่เรียนมาทั้งเทอม

เหตุผลที่ ดร.วรภัทรออกข้อสอบด้วยการให้นิสิตออกข้อสอบเองเป็นเหตุผลที่ตรงกับใจผมมาก

"ชีวิตคนเราจะรอให้อาจารย์ตั้งโจทย์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องหาโจทย์มาเอง คิดแล้วทำ ถ้าผิดแล้ว
อาจารย์จะปรับให้"


เขามองว่า "เด็กรุ่นใหม่ติดนิสัยเด็กกวดวิชา รอคนคาบทุกอย่างมาป้อนให้ไม่รู้จักคิดเอง"

"ถ้ารอและตั้งรับ คุณก็เป็นพวกอีแร้ง แต่พวกคุณแย่กว่าเพราะเป็นแค่ลูกอีแร้ง คือ รออาหารที่คนอื่น ป้อนให้"



โหย...เจ็บ เชื่อมานานแล้วว่า

...ชีวิตของคนเราเป็นข้อสอบอัตนัยที่ต้องตั้งโจทย์เองและตอบเอง ไม่ใช่ข้อสอบปรนัยที่มีคนตั้งโจทย์ และมีคำตอบเป็นทางเลือก ก-ข-ค-ง ถ้าใครที่คุ้นกับ "ชีวิตปรนัย"ที่มีคนตั้งโจทย์ให้และเสนอทางเลือก 1-2-3-4 คนคนนั้นชีวิตจะไม่ก้าวหน้า เพราะต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลาติดกับ "กรอบ" ที่คนอื่นสร้างให้ไม่เหมือนกับคนที่รู้จักคิดและตั้งคำถามเอง...

เรื่องการตั้งคำถามกับชีวิตเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าลืมว่า ...เพราะมี "คำถาม" จึงมี "คำตอบ" เมื่อมี "คำตอบ" เราจึงเลือกเดิน ...

พูดถึงเรื่องการตั้งคำถาม ผมนึกถึง"โสเครติส" เขาเป็นนักปรัชญาเอกของโลกที่สอนลูกศิษย์ด้วยการสนทนา

ตั้งคำถามให้ลูกศิษย์ตอบ สร้างองค์ความรู้จาก "คำถาม"

กลยุทธ์ของ "โสเครติส" ในการสอนคือ ไม่ให้ความเห็นใดๆ แก่นักเรียน และทำลายความมั่นใจของนักเรียนที่เชื่อว่าตนเองรู้

...."โสเครติส" เชื่อว่าเมื่อเด็กตระหนักใน "ความไม่รู้" ของตนเองเขาจะเริ่มต้นแสวงหา "ความรู้"....
แต่ถ้า ....เด็กยังเชื่อมั่นว่าตนเองมี "ความรู้" เขาก็จะไม่แสวงหา "ความรู้"....

การตั้งคำถามของโสเครติส จึงมีเป้าหมายโจมตี และทำลายความเชื่อมั่นในภูมิความรู้ของนักเรียน

เป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า

....เท "น้ำ" ให้หมดจากแก้ว เมื่อแก้วไม่มีน้ำแล้ว จึงเริ่มให้เขาเท "น้ำ" ใหม่ใส่แก้วด้วยมือของเขาเอง....

"น้ำ" ที่ลูกศิษย์แต่ละคนเทลงแก้วด้วยมือตัวเองมาจาก "คำตอบ" ที่เขาค้นคิดขึ้นมาเอง

"คำตอบ" จาก "คำถาม"ของ "โสเครติส"


"โสเครติส" นิยามศัพท์คำว่า "คนฉลาด" และ "คนโง่" ได้อย่างน่าสนใจ

"คนฉลาด" ในมุมมองของ "โสเครติส" นั้นไม่ใช่คนที่ รู้ทุกเรื่อง


แต่ ...."คนฉลาด" คือ คนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ ....

ส่วน ...."คนโง่" นั้น คือคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ แต่ทำตัวราวกับเป็นผู้รู้ ....


***ไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้ผมยังมีความภาคภูมิใจใน "ความรู้" ของตนเองแต่พออ่านถึงบรรทัดนี้ทำไมผมเริ่มรู้สึกว่า ตัวเองไม่รู้อะไรเลย***

จริงๆ แล้ว มันเกิดคำถามขึ้นมาในหัวทันทีว่า ใบปริญญารับรององค์ความรู้ต่างๆ ที่ได้มานั้น มัน confirm ได้เปล่าว่า เรารู้จริงๆ เพราะตราบเท่าที่โลกมันไม่หยุดนิ่ง สิ่งที่เราเรียนรู้ว่า ถูกต้อง ใช่ และดีในวันนี้ มันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ถูกต้องในวันพรุ่งนี้ ตราบเท่าที่การค้นหา และการค้นพบไม่สิ้นสุดลง

การเรียนที่สูงขึ้นๆ นั้น มันเป็นเพียงแค่หลักสูตรหนึ่งที่ ทำให้เราฝึกฝนตนเอง ให้มีทักษะในการค้นหา เพื่อพัฒนา ปรับปรุงสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ ฝึกให้เราอดทน ฝึกให้เราคิดและค้นหาต่อไปเลยๆ ไม่ใช่ทรนงกับสิ่งที่มีอยู่ หรือได้มา หรือเปล่า เพราะตราบเท่าที่ การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อคิดที่จะเรียนรู้ ดังนั้นแล้ว ใบปริญญาที่เราภาคภูมิใจกันหนักหนาว่า เราได้มาจากความยากลำบากนั้น มันอาจเป็นแค่ใบเบิกทางสู่ชีวิตในวันข้างหน้า และการตามหาความฝันของเรา เท่านั้น

อืม เกือบลืมเล่าให้ฟัง
จริงๆ แล้วมีรุ่นพี่คนหนึ่ง เขาเป็นคนที่ทำให้เรารู้ได้ว่า คนที่ดำเนินชีวิตตามความฝันของตนเอง และเรียนรู้ เพียงเพราะแค่อยากรู้ มันเป็นยังไง

พี่เค้าไม่เคยสนใจว่า อาจารย์จะให้เกรดเท่าไร?
จะสอบตกหรือเปล่า?
หรือใครจะมองยังไง?

แต่เค้าจะบอกแค่ว่า พี่สนใจเพราะที่อยากรู้ และพี่ก้อมีความสุขกับการเรียนรู้มัน แค่ไหน
พี่ไม่ใช่คนที่สอบได้ Top
พี่ไม่ใช่คนที่เป็นคนที่พูดให้คนอื่นๆ ฟัง

แต่พี่เป็นคนที่โด่ดเด่นในสายตาของพวกเรา เพราะเขาเป็น model ที่ดี ของคนที่แรงจูงใจในการเรียนรู้ ค้นคว้าหาความรู้

มันเป็นความรู้สึก ดีใจมากๆ ที่ความฝันของเค้า คือการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เพราะนั่นหมายความว่า จะมีกลุ่มคนที่โชคดีมากๆ กับทรัพยากรบุคคลผู้นี้ เพราะเขากับหัวใจของเขา มันคงจะรังสรรค์ความสวยงามให้เกิดขึ้น แก่คนอื่นๆ ได้อีกมากมาย



p.s. ขอบคุณนะคะพี่ ที่เป็นหนึ่งในตัวเดินเรื่องในครั้งนี้ และก้อขอบคุณคนที่ส่งเมล์ฉบับนี้มา ที่ได้แบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้กัน ขอบคุณที่ดร.วรภัทร และโสเครติส ที่ทำให้โลกใบนี้สวยงาม

Monday, January 15, 2007

Tuesday, January 09, 2007

สารภาพ

อืม วันนี้นะ ได้ไปอ่านบล็อกเพื่อนๆ ด้วย แล้วพบว่า สิ่งที่ in-trend ต่อนี้ก้อคือ "Blog-Tag"

อ่านตอนแรกๆ ของ pickmegadance ก้อ งงๆ อยู่ ว่า มันคือ อะไรวะ แต่ด้วยความอยากรู้ ก้อเลยตามอ่านย้อนหลังถึงที่มาของมัน

ออ ก้อเลยเข้าใจว่า มันคือการเปิดเผย เรื่องลับๆ แบบ Top-secret นะ ที่แบบว่า สุดยอด หรือ สุ๊ด..ยอด อะไรแบบนี้

อื้ม พอมานั่งคิดๆ ดูนะ ว่า เรามี Top-secret อะไรในชีวิตบ้างนะหรือ คิดแล้วก้องง ๆ เหมือนกันว่า ไอ้ Top-secret เนี้ย มันต้องมีนิยามแบบไหนว้า มันถึงจะเป็นยออออด

คิดไปคิดมา แล้วก้อปวดหัว ไม่ใช่ว่า มี หรือ ไม่มีนะ แต่ก้อไม่รู้จะเอาอะไรดี

คิดแล้วคิดอีก ก้อเอาเป็นยังงี้คงจะดีกว่า

คือแบบว่า แต่ก่อนอะ ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่า ไอ้อาการแบบที่เราเรียกมันว่า ...ศิลปิน... อะ
(คือ อาการที่ใช้เรียกคนที่มีโลกส่วนตัว ไม่ใช่สิ คืออาการแบบขึ้มๆ อะ หรือจะยังไงก้อช่าง มันก้อคือ แบบเงียบๆ อะ)
เคยคิดอยู่ว่า อืม มันอยู่ได้อย่างไงวะ เงียบๆ อยู่คนเดียว อะไรแบบนี้
อาจจะเพราะเป็นคนชอบแบบมีเสียงหัวเราะ จากคนเยอะๆ มั่ง

จนวันหนึ่ง ได้มาพบอาการที่เกิดขึ้นก้อคือ ไม่อยากโทรศัพท์ ไม่อยากรับโทรศัพท์ นั่งเล่นคอมฯ ทั้งวัน หรืออะไรแบบนี้

อืมก้อเลย เข้าใจว่า อืม มันนิ่งๆ ดีจัง นอกจากนี้นะ มันยังสอนให้ทำอะไรโดยมีหลักตรรกะ เป็นของตัวเองอีกด้วย ตัวอย่างเช่น การให้เหตุผลในหลายๆ การกระทำว่า


ขี้เกียจออกจากบ้าน เพราะรถติด
ขี้เกียจคุย เพราะเวียนหัว
ขี้เกียจกินข้าว เพราะต้องล้างจาน
ขี้เกียจอาบน้ำ เพราะมันหนาว
ขี้เกียจดูทีวี เพราะมันเครียด

และสุดท้าย ขี้เกียจไปเจอคน เพราะชอบถามว่า
...เมื่อไร! จะจบสักที ...
หรือ ...จบแล้วหรือ ทำงานที่ไหนละ...
หรือ ...ทำอะไรอยู่อะ...
หรือ ...อื่นๆ อีกมากมาย...


สุดท้าย คำถามเด็ดๆ ...วิทยานิพนธ์ ถึงไหนแล้ว...



โอ๋ แม่เจ้า! (เจอคำถามสุด Classic แห่งปีอีกแล้ว) แต่ตอบด้วยคำตอบจากใจจริง พร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งไปว่า


"... อืม.. คะ คะ คะ/ อืม ทำอยู่คะ คะ คะ ..."



แต่อย่างไรก้อตาม ก้อรู้ว่า ทุกคนหวังดีจริงๆ ละ แล้วก้อต้องบอกให้เขาสบายใจ กับคำตอบสุด classic ที่ว่า


''...ขอบคุณม๊ากมาก นะคะ ในที่เป็นห่วง แต่กำลังพยายามทำอยู่คะ..."

อะไรแบบเนี้ย...........



นี้ละมั่ง สาเหตุที่แท้จริง ของ ...ความสงบที่เกิดขึ้น... ในช่วงนี้

..............................................



Saturday, January 06, 2007

ก่อนมะลิจะบาน

มิตรภาพ จะยังคงอยู่ในใจ
.....
ระหว่างเรา
จะมีสิ่งใดน่ายินดีไปยิ่งกว่า
การได้ใช้เวลาที่มีอยู่
โอบเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน



โดย Time อัลบัม 24 ชม.


มันเป็นประจำตรงสี่แยกนี้ ที่รถมันติดเหลือเกิน


แต่ใครๆก็คงต้องผ่าน บังเอิญวันนั้นได้เหลือบไปเห็น


แววตาของเด็กน้อยนั่งมองเหมื่อ อยู่ริมข้างฟุตบาท


เลยสะกิดใจ ค่อนข้างห่วงเขาเป็นอะไร จึงได้ทักไป


ให้ช่วยไหม ได้ฟังเขาตอบ น่าแปลกใจ



* ก็อยากให้ไฟแดงนานกว่านี้หน่อย เผื่อว่าจะได้ขายมาลัยให้หมด


ถ้าหากว่าวันนี้มีไปเขียวบ่อย ก็คงขาดทุน


ไม่มีใครอยากซื้อมะลิบานๆ



และทุกหนนี้ต้องผ่านทางนั้น ที่รถมันติดเหลือเกิน


แต่ตัวฉันไม่เคยจะเบื่อ


เพราะฉันนึกถึงคำตอบเด็กน้อย ที่คอยเตือนใจฉันให้รู้สึก ให้นึกถึงคนอื่น


ลองเอาใจเขา เข้ามาใส่หัวใจสักที โลกในแง่ดี


มีความหมาย ให้ฉันได้เปลี่ยน เปลี่ยนความคิด


(ซ้ำ *)


(ซ้ำ * , *)





Friday, January 05, 2007

จินตนาการ

เคยได้ยินมาว่า


"...มนุษย์สร้างได้ทุกอย่าง เริ่มต้นจากจินตนาการ..."



ในความเป็นจริงแล้ว


มันเป็นสิ่งที่เกิดให้เห็นเสมอๆ

....................


ในจินตนาการของใครบ้างคน


มันกลับกลายเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น


เมื่อใครเหล่านั้น ไม่หยุดมันไว้


เพียงแค่


"...จินตนาการ..."






Tuesday, January 02, 2007

ไม่บังเอิญ

บังเอิญหา

บังเอิญเจอ

แต่ไม่บังเอิญเอามา post ไว้

เผื่อ บังเอิญว่า จะมีใครบางคนคิดถึง "...อะไรๆ ที่ไม่บังเอิญ..."


.....................

ไม่บังเอิญ - กุลวัฒน์ พรหมสถิตย์


หากบังเอิญสายตาเธอ จะผ่านมาที่ฉัน

แหละเธอนั้นบังเอิญจะสนใจ

หากบางทีหัวใจเธอเจอสิ่งที่ซ่อนไว้

ก็คงเพราะว่าใจเราตรงกัน


แต่มันคงไม่มีทางเป็นอย่างที่คิดไว้

แหละเราไม่มีทางจะรักกัน

แหละไม่มีเรื่องบังเอิญจะเกิดขึ้นทั้งนั้น

เพราะฉันคิดฝันไปคนเดียว

*อยู่กับความเหงา

กอดกับความฝัน

อยู่กับความหวังที่มันยังไม่หายไป

อยู่กับความรักที่มันบังเอิญ ไม่เป็นใจ

เพราะไม่มีทางจะมีเธอ


ก็คงเป็นเพราะความจริง มันต่างจากที่ฝัน

แหละเธอนั้นไม่เคยจะสนใจ

แต่บังเอิญฉันยืนยันจะเก็บความฝันไว้

เก็บมันไว้ให้เธอเพียงคนเดียว

(ซ้ำ *)

มีเพียงความเหงา มีเพียงความ ฝัน

เพียงเธอเท่านั้นที่มันยังขาดหายไป

ก็มีความรัก แต่เธอบังเอิญ ไม่มีใจ

ฉันไม่มีทางจะมีเธอ


"...ก็ฝันว่าซักวันจะมี เธอ..."