Monday, October 08, 2007

ทัศนะจากนานาชาติเรื่องความสุข: บทสรุปจากการประชุมเรื่อง ความสุขและนโยบายสาธารณะ (ตอนที่ 1)

โดย กนกพร นิตย์นิธิพฤทธิ์
สำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ (สพน.)
สำนักนายกรัฐมนตรี
“ความสุข” เป็นคำง่ายๆ แต่กลับมีความซับซ้อนในการนิยามให้ครอบคลุม เพราะความสุขมีความเป็นนามธรรม และแตกต่างกันตามบุคคล แต่อย่างไรก็ตาม ความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนไขว่คว้า ซึ่งภายหลังจากการใช้นโยบายในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยอิงหลักรายได้ และตัวชี้วัดเชิงปริมาณ กลับพบว่า ไม่สามารถสะท้อนประเด็นเรื่องความพึงพอใจในชีวิต (Life Satisfaction) ของคนได้เท่าที่ควร ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยอิงประเด็นเรื่องความสุขของประชาชน อาทิเช่น Gross National Happiness (GNH) ของภูฏาน และแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมฉบับที่ ๑๐ เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุขในสังคมไทย แนวคิดและการศึกษาเรื่องความสุขได้มีการพัฒนาออกไปเป็นวงกว้าง ทั้งในประเทศแถบตะวันตกและตะวันออก จากพัฒนาการที่ได้เปลี่ยนผ่านจากเดิมที่ใช้แนวการคิดวิเคราะห์เพียงศาสตร์ใดศาสตร์หนึ่งมาเป็นการวิเคราะห์โดยองค์รวม กล่าวคือ มีความพยายามผสมผสานแนวคิดทางจิตวิทยามาช่วยในการอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์ในงานศึกษาทางเศรษฐศาสตร์ หรือการนำแนวคิดทางประสาทวิทยา (Neuroscience) มาช่วยอธิบายความเป็นนามธรรมของความสุข ให้มีความเป็นรูปธรรม และมีความเป็นวิทยาศาสตร์และมีหลักการมากขึ้น

จากพัฒนาการต่างๆ ในงานศึกษาทางวิชาการ ได้นำไปสู่ความตื่นตัวเพื่อผลักดันนโยบายที่มีผลต่อความสุขของประชาชน โดยประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่ตื่นตัวและให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าวในการพัฒนาระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ จึงเกิดความพยายามในการพัฒนาตัวชี้วัดความอยู่เย็นเป็นสุขของสังคมไทย (Green and Happiness Index) ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ที่หวังผลมากกว่าแค่การวัดและประเมินความสุขของประชาชน หากแต่ยังหวังถึงการผลักดันด้านนโยบายที่จะนำไปสู่การมีสังคมที่อยู่เย็นเป็นสุข หรือการประชุมนานาชาติเรื่องความสุขและนโยบายสาธารณะ (Happiness and Public Policy International Conference) ที่จัดขึ้นในวันที่ 18-19 กรกฎาคม 2550 ณ ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ (UNCC) ของสำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ สำนักนายกรัฐมนตรี ที่ร่วมกับคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิกแห่งสหประชาชาติ (UNESCAP) และภาคีอื่นๆ เช่น สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT), องค์กรความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) รวมทั้งสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเป้าหมายหลักของการประชุมในครั้งนี้ ก็คือ ความพยายามพัฒนาและต่อยอดประเด็นคุณภาพของนโยบาย ผ่านกระบวนการแลกเปลี่ยนความคิดทางวิชาการ

ประเด็นสำคัญที่ได้รับจากการประชุมนานาชาติในครั้งนี้ สามารถแบ่งภายใต้ข้อคำถามสำคัญได้แก่
1. ทำไมความสุขจึงสำคัญ
2. ความสุขคืออะไร และวัดประเมินได้อย่างไร
3. อะไรสามารถนำไปสู่การเพิ่มและพัฒนาของสุขของประชาชน และทำอย่างไรจึงจะสามารถทำให้ประชาชนมีความสุขได้

โดยในบทความนี้จะกล่าวเพียงแค่ว่า ทำไมเราจึงต้องให้ความสำคัญกับเรื่องความสุข เพราะสัจธรรมหนึ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ ความสุข หรือการลดความทุกข์เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องการ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ เทคโนโลยีสารสนเทศถูกพัฒนาขึ้นเพื่ออำนวยความสะดวกแก่มนุษย์ สิ่งแวดล้อมถูกนำมาใช้เพื่อการบริโภคอย่างฟุ่มเฟือยภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบกลไกตลาด ดูเหมือนว่า ประชาชนน่าจะมีความสุขมากขึ้นจากระบบบริโภคนิยม (Consumerism) แต่ในความเป็นจริง ความเจริญก้าวหน้าทางวัตถุต่างๆ ไม่อาจเข้าถึงประเด็นเรื่องจิตใจของประชาชนได้เท่าที่ควร และแม้ว่ารัฐบาลหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายโดยตรงเองก็หวังอยากให้ประชาชนของตนมีความสุข และบรรเทาความทุกข์ให้กับประชาชน หากแต่ “ความสุข” เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนดั่งที่ได้กล่าวในข้างต้น ประกอบกับการไม่เข้าใจถึงนิยามของความสุขที่แท้จริง และไม่มีเครื่องมือที่ดีพอในการวัดและประเมินผลของนโยบายในเชิงนามธรรม “รายได้” จึงเป็นเสมือนตัวแทนสำคัญเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกใช้วัดประเมินความอยู่ดีมีสุข (Well-Being) ภายใต้แนวคิดที่ว่า การบริโภคที่เพิ่มขึ้นจะนำไปสู่ความอยู่ดีมีสุขที่มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน พัฒนาการในการวัดประเมินประเด็นที่เป็นนามธรรมก็ได้รับการช่วยเหลือจากการศึกษาทางจิตวิทยา ร่วมกับการใช้ระบบการคิดวิเคราะห์แบบองค์รวมในงานศึกษาเพิ่มขึ้น จึงทำให้การศึกษาเรื่องความสุขได้รับความสนใจและมีความเป็นไปได้อย่างมากในปัจจุบัน และจากเหตุผลในข้างต้นนี้ ทำให้สำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ (สพน.) จัดทำโครงการศึกษาและจัดประชุมนานาชาติ เรื่องความสุขและนโยบายสาธารณะขึ้น เพื่อพัฒนา และเพิ่มพูนคุณภาพของนโยบายสาธารณะต่อไป

(ติดตามตอนต่อไป ความสุขคืออะไร และวัดประเมินได้อย่างไร)

No comments: