Monday, October 08, 2007

ทัศนะจากนานาชาติเรื่องความสุข: บทสรุปจากการประชุมเรื่อง ความสุขและนโยบายสาธารณะ (ตอนที่ 2)

โดย กนกพร นิตย์นิธิพฤทธิ์
สำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ (สพน.)
สำนักนายกรัฐมนตรี
ในปัจจุบัน การศึกษาเรื่องความสุขได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ภายหลังจากการเยือนประเทศไทยของเจ้าชายจิกมี วังชุก มกุฎราชกุมารแห่งภูฏาน หนึ่งในคำถามที่สำคัญสำหรับประชาชน โดยเฉพาะนักวิชาการ สำหรับเรื่องความสุข ก็คือ “ความสุขคืออะไร และวัดประเมินได้อย่างไร” จากการที่ “ความสุข” เป็นเรื่องใกล้ตัว แต่ยากในการเข้าใจ เพราะมีความจำเพาะเจาะจง และแตกต่างกันตามบุคคล ด้วยเหตุนี้ หลักแนวคิดและการวัดประเมินความสุข จึงค่อนข้างมีความสำคัญต่อกระบวนการศึกษาเพื่อพัฒนานโยบายสาธารณะที่เข้าถึงความสุขของประชาชน ถ้าจะแบ่งแนวคิดเรื่องความสุข เราสามารถแบ่งคร่าวๆ ออกเป็น 2 ขั้วแนวคิด คือ แนวคิดทางตะวันตกและแนวคิดทางตะวันออก

ความแตกต่างของสองขั้วแนวคิดนี้ก็คือ แนวคิดทางตะวันตกจะมีฐานความคิดมาจากหลักบริโภคนิยม (Consumerism) ขณะที่แนวคิดทางตะวันออกจะได้รับอิทธิพลทางหลักปรัชญา ศาสนา และวัฒนธรรม จึงทำให้แนวคิดเรื่องความสุขจากทฤษฎีทางตะวันออก ไม่ได้อิงกับข้อสมมติฐานของการมีความสุข หรือความพึงพอใจในชีวิตจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้น

โดยแนวคิดสำคัญๆ ที่ถูกนำมาใช้กับการศึกษาเรื่องความสุข (Happiness หรือ Subjective well-being), ความอยู่เย็นเป็นสุข หรือกินดีอยู่ดี (Well-being) ได้แก่ แนวคิดโอกาสในการสร้างความสามารถ หรือ Capability Approach ของ Amartaya Sen ที่ได้อธิบายความสามารถว่าเป็นปัจจัยสำคัญของมนุษย์ที่จะแปรเปลี่ยนเป็นรายได้ หรือการถือครองทรัพย์สิน แต่อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ ประกอบไปด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ 2 องค์ประกอบคือ การปฏิบัติภารกิจ (Functioning) และความสามารถ (Capability) โดยทั้งสองปัจจัยจะต้องเกื้อกูลกัน ตัวอย่างเช่น การที่บุคคลมีรายได้สูง หรือมีความสามารถในการเข้าถึงโอกาสการมีรายได้ที่มาก หากแต่ก็มีแนวโน้มของการเจ็บปวด หรือการพิการในชีวิต หรือก็คือการมีแนวโน้มที่จะขาดปัจจัยพื้นฐานในการปฏิบัติภารกิจ ก็จะถูกมองว่า บุคคลนั้น อาจไม่ได้สบายดี หรือมีความสุขจากการมีรายได้สูงของเขา เป็นต้น

นอกจากนี้ แนวคิดอรรถประโยชน์ประสบการณ์ หรือ Experienced Utility ที่เสนอโดย Daniel Kahneman ถูกนำมาใช้เพื่อสนับสนุนประเด็นการวัดและประเมินเรื่องความสุข และสิ่งที่เป็นนามธรรม ด้วยการพัฒนาหลักพฤติกรรมทางจิตวิทยา ได้แก่ การปรารถนา (Aspiration) ความคาดหวัง (Adaptation) และการเปรียบเทียบกับสังคม (Social Comparison) กับแนวคิดจากอรรถประโยชน์ (Utility) โดยมีข้อสมมติฐานทางเศรษฐศาสตร์ที่สำคัญว่า การคิดวิเคราะห์เป็นช่วงเวลา (duration) และความไม่แตกต่างกันในแต่ละช่วงเวลา (Time Neutrality) ตัวอย่างเช่น ในสองเหตุการณ์ที่มีช่วงเวลาเท่าๆ กัน แม้ว่าเหตุการณ์ที่หนึ่ง จะเกิดเรื่องที่ไม่ดีก่อน แล้วเกิดเรื่องที่ดีตามมา ก็ไม่ได้หมายความว่า โดยรวมแล้วเหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่ดี และขณะที่เหตุการณ์ที่สอง แม้จะเกิดเรื่องดีก่อนแล้วเกิดเรื่องที่ไม่ดี ก็ไม่ได้หมายความว่า เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ดี เพราะถ้าทำการวัดประเมินอรรถประโยชน์โดยรวม ในแต่ละจุดของเวลาในทั้งสองเหตุการณ์ดังกล่าว แล้วพบว่า อรรถประโยชน์โดยรวมเท่ากัน เมื่อนั้น อรรถประโยชน์ของทั้งสองเหตุการณ์จึงไม่แตกต่างกันตามช่วงเวลานั่นเอง

ในส่วนของทฤษฎีพุทธเศรษฐศาสตร์ และปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เป็นแนวคิดที่มองความสุข จากการลดความทุกข์ หรือเหตุแห่งความทุกข์ โดยใช้หลักมัชฌิมาปฏิปทาทางพุทธศาสนา จุดเด่นของแนวคิดนี้จะกล่าวถึงการดำรงชีวิตอย่างพอประมาณและมีเหตุผล โดย “ปัญญา” เป็นหลักการที่สำคัญของการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขภายใต้แนวคิดของพุทธเศรษฐศาสตร์ นอกจากนี้ “พุทธเศรษฐศาสตร์ยอมรับความสุขจากการเสพ แต่จะต้องเป็นการเสพด้วยความสำรวมคือ ต้องไม่เบียดเบียนตนเองและไม่เบียดเบียนผู้อื่น (เช่นเดียวกับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง)” (อภิชัย พันธเสน, 2548) ขณะที่แนวคิดเรื่องความสุขมวลรวมประชาชาติ (GNH) จะมีความเชื่อเบื้องหลังที่ว่า ความสุขคือเป้าหมาย หรือความต้องการสูงสุดในชีวิตของมนุษย์แต่ละคน ดังนั้น ถ้าการพัฒนาประเทศจะเน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลางแล้ว การพัฒนาก็ควรจะนำไปสู่การบรรลุความพึงพอใจของมนุษย์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยแนวคิดนี้ มี 4 หลักการที่สำคัญ คือ การพัฒนาเศรษฐกิจสังคมอย่างยั่งยืนและเสมอภาค, การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม, การรักษาและส่งเสริมวัฒนธรรม และการส่งเสริมการปกครองที่ดี

ประเด็นการวัดและประเมิน (Measurement) นั้น Robert A. Cummins ได้เสนอแนวคิดที่ว่า คุณภาพชีวิตที่ดีประกอบด้วยเงื่อนไขทางวัตถุวิสัย (Objective conditions) และมุมมองทางอัตวิสัย (Subjective perceptions) โดยความอยู่ดีมีสุขทางอัตวิสัยเป็นสภาวะทางจิตใจที่เป็นบวก และเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของชีวิตทั้งหมดที่สามารถให้ค่าคะแนนออกเป็นจำนวนระดับความพึงพอใจของชีวิตโดยรวมจากปัจจัยทั้งหมด (Domains) ส่วนวิธีการหรือเครื่องมือสำคัญที่ใช้ในการวัดประเมินการศึกษาเรื่องความสุข และความพึงพอใจ ก็คือ วิธีการรายงานด้วยตนเอง หรือ Self-Report method เป็นการสอบถามความรู้สึกพึงพอใจ หรือความสุขของบุคคลในระดับต่างๆ เช่น 1-3, 1-4, 1-5, 1-7, 1-10 หรือ 1-11 จากลำดับความไม่พึงพอใจสูงสุด คือ “1” ไปถึงลำดับความพึงพอใจสูงสุด ไม่ว่าจะเป็น “3”, “4”, “5”, “7”, “10” หรือ “11” วิธีการศึกษานี้ ได้รับการสนับสนุนจากการทดลองทางจิตวิทยาถึงความมีเสถียรภาพของผลการรายงานความพึงพอใจของบุคคล

ขณะนี้ได้มีความพยายามจากหลายองค์กรในการศึกษาพัฒนาวิธีการวัดประเมินสิ่งที่เป็นนามธรรมในประเด็นต่างๆ อาทิเช่น องค์กรความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ หรือ OECD ที่ทำการศึกษาเรื่อง การวัดความก้าวหน้าของสังคม หรือ “Measuring the Progress of Societies”, คณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมสำหรับเอเชียและแปซิฟิกแห่งสหประชาชาติ (UNESCAP) ก็ได้มีการนำเสนอประเด็นเรื่อง “Green Growth Concept” และสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ที่เสนอเรื่อง “Green and Happiness Index” เป็นต้น

(ติดตามตอนต่อไป ปัจจัยที่นำไปสู่การมีความสุขกับนโยบายสาธารณะ)

No comments: