Sunday, January 28, 2007

เคยชิน

นิทาน เรื่อง แฮม กับเนยแข็ง

ทั้งๆ ที่มนุษย์มีสติปัญญาไม่น้อย เราก้อยังเป็นสัตว์โลกที่ชอบทำอะไรตามความเคยชิน และไม่ค่อยยอมทิ้งแบบแผนพฤติกรรมเก่าๆ นิทานเรื่องนี้ จะยืนยันข้อนี้ได้ดี
.
มีอยู่วันหนึ่ง ลูกสาวกำลังดูแม่เตรียมจะอบแฮม

สักครู่หนึ่ง ลูกสาวก้อถามขึ้นว่า
"แม่คะ ทำไมแม่ต้องหั่นด้านหัวกับท้ายออกด้วย"
แม่ตอบว่า "ก้อแม่เห็นคุณยายทำอย่างนี้นะสิจ๊ะ"
ลูกสาว "แล้วทำไมล่ะคะ"
แม่ตอบ "ไม่รู้ซี ลองไปถามคุณยายแล้วกัน"

ทั้งคู่จึงไปหาคุณยายแล้วถามว่า "คุณยายคะ เวลาคุณยายเตรียมแฮม จะเอาไปอบเนี้ย ทำไมคุณยายต้องเฉือนปลายออกทั้งสองด้านด้วยล่ะคะ..."
"ก้อคุณยายเห็น แม่ของยายทำอย่างนี้นะสิ" คุณยายตอบ
"ทำไมล่ะคะ" เด็กน้อยยังถามอยู่
"ยายก้อไม่รู้สิ ลองไปถามคุณทวดก็แล้วกัน"

ทั้งหมดจึงพากันไปหาคุณทวด แล้วถามคุณทวดว่า
"คุณทวดคะ เวลาคุณทวดเตรียมแฮมจะเอาไปอบ ทำไมคุณทวดต้องเฉือนทั้งหัวทั้งปลายแฮมด้วยล่ะคะ"

"...อ้าว!..." คุณทวดตอบ "...ก็เพราะพิมพ์มันเล็กเกินไปน่ะสิ..."


บางทีเราก้อ หลงติดอยู่กับแบบแผนเดิมๆ ที่ถ่ายทอดกันลงมาหลายชั่วอายุคน และก้อวนเวียนอยูกับความเชื่อที่ล้าสมัยไปแล้ว ติดอยู่ในกรอบที่เรามองไม่เห็นโดยเราเองก้อไม่รู้ตัว กรอบเหล่านี้ คอยจำกัดไม่ให้เราคิดในแบบใหม่ๆ ดังอุปมาเรื่องต่อไปนี้


นิทาน เรื่อง หนูกับเนยแข็ง

กาลครั้งหนึ่ง ยังมีหนูอยู่ตัวหนึ่ง มันเป็นหนูธรรมดาๆ ไม่ได้ฉลาดอะไร เป็นพิเศษ แต่ชอบเนตแข็ง และมีความสามารถในการดมกลิ่นเนตแข็งเป็นเยี่ยม

อยู่มาวันหนึ่ง กลิ่นเนตแข็งชั้นดี ก้อตลบอบอวลไปทั่ว มันจึงลงนั่งยองๆ ทำจมูกฟุดฟิด แล้วก้อถามตัวเองว่า
"เอ๊ะ เนยแข็งอยู่ไหนนะ"

เบื้องหน้าของมันมีอุโมงค์อยู่ 4 ทาง มันรีบมุดเข้าไปในอุโมงค์ที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดทันที
...ไม่มีเนยแข็ง...

มันก้อลองเข้าไปในอุโมงค์ที่ 2
...ก้อ ไม่มีเนยแข็ง...

มันจึงมุดเข้าไปในอุโมงค์ที่ 3
...ก้อยัง ไม่มีเนยแข็ง...

เอาละ เหลืออุโมงค์สุดท้ายแล้ว มันรีบมุดเข้าไป
นั่นไง เนยแข็งก้อนโต ดูน่ากินที่สุด แถมยังมีรสชาติอร่อยสมกับที่มีกลิ่นหอมเสียด้วย

วันต่อมา กลิ่นเนยแข็งโชยมาอีกแล้ว

มันรีบผลุบเข้าไปในอุโมงค์ที่ 4 ทันที เจอแล้วเนยแข็ง แล้วก้อ เช่นเดียวกับวันต่อมา ต่อมา และก้อต่อมา หนูตัวนี้มีความสุขที่สุด เพราะมันรู้ว่าจะหาเนยแข็งกินได้ที่ไหน

วันหนึ่ง มันได้กลิ่นเนยแข็งโชยมาอีกแล้น แต่ปรากฏว่า ไม่มีเนตแข็งอยู่ในอุโมงค์เดิม มันรีบวิ่งออกมาดูให้แน่ใจอีกครั้งว่า นี่ใช่อุโมงค์ที่ 4 หรือไม่ แล้วมันก้อวิ่งกลับเข้าไป แต่ก้อยังไม่มีเนยแข็งอีก มันวิ่งกลับออกมา และกลับเข้าไปอีกเป็นครั้งสุดท้าย ...ยังไม่มีเนยแข็งอีก!...

แต่เดี๋ยวก่อน ยังมีกลิ่นเนยแข็งอยู่นี่น่า เอ๊ะ หรือว่าอยู่ในอุโมงค์ที่ 3 มันวิ่งเข้าไปดู แต่ก้อ ไม่มีเนยแข็ง แล้วอุโมงค์หมายเลข 2 ละ ก้อไม่มีเนยแข็งอีก หรือว่า ...จะเป็นอุโมงค์หมายเลข 1...
"นี่ไงเจอแล้ว เนยแข็งอยู่ในอุโมงค์หมายเลข 1 นี่เอง"

แล้วมันก้อกินเนยแข็งอย่างเอร็ดอร่อย


มองในแง่หนึ่ง มนุษย์เราก้อเหมือหนูตัวนั้น คือเราได้กลิ่นเนยแข็ง เราเล็งและตั้งเป้าหมาย หลังจากค้นหาอยู่พักหนึ่ง เราก้อพบ อุโมงค์ที่มีเนยแข็ง และเนยแข็งก้ออร่อยจริงๆ แต่ถ้าอยู่มาวันหนึ่ง เนยแข็งเกิดไม่ได้อยู่ตรงที่เดิมอีกแล้วล่ะ เราก้อ ยังมุดเข้าไปในอุโมงค์เดิมอีกครั้ง สอดส่ายสายตาและดมกลิ่นหา แต่ก้อไม่มีเนยแข็ง เราลองหาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า

พอถึงจุดนี้ หนูก้อเริ่มลองเข้าไปดูในอุโมงค์อื่นๆ แล้วมนุษย์อย่างเราล่ะ ทำไม เรายังคงดันทุรังค้นหาอยู่ในอุโมงค์หมายเลข 4 ครั้งแล้วครั้งเล่า



<><><><><><><><><><><><><>



มาจากหนังสือเรื่อง
"YOUR MONEY OR YOUR LIFE" หรือ "เงินหรือชีวิต"


โดย โจโดมิงเกซ และวิคกี้ โรบิน (2006)


แปลโดย พล วงศ์พฤกษ์


บรรณาธิการ โดย นวลคำ จันภา





Thursday, January 25, 2007

คิดถึงจัง



ในยามหลับนอน
ขอให้เธอฝันดีเสมอไป
พบพานเรื่องราวดีดีในฝัน
ไร้คืนที่ฝันร้าย

ค่ำคืนที่เงียบงัน
ได้ดูดาวบ้างไหม
ความห่วงใยของฉันอยู่ที่นั่น
ทุกคราวที่เธอเฝ้ามอง

สายลมเย็นพัดผ่อนคลาย
หลับตาลงและฝันดี
คือปรารถนาของฉัน
ที่ไม่เคยจางไปกับวันเวลา
.
.
.
.
....อยากบอกว่า กำลังคิดถึงทุกๆ คนเลยนะ....

Tuesday, January 23, 2007

Tag ตัวเอง

หลังจากรออยู่นาน ว่าจะมีใครมา Tag เราไหม ซึ่งเราก้อคิดไว้แล้วละว่าจะเล่าเรื่องอะไร แต่ก้อรอแล้ว รอเล่า ไม่มีใครจะมา Tag ฉันเลยอะ (อึม อึ้ม เส้าจิงๆ) แต่ไม่เป็นไร ถ้ารอใครมา Tag เราก่อน คงไม่ได้เล่นเกมส์ นี้อีกเป็นแน่ เพราะ มันใกล้จะ out แล้วก้อว่าได้ ด้วยเหตุนี้แล้ว ข้าพเจ้าจะไม่รออีกต่อไป แต่จะขอเล่น โดยเริ่มจากตัวเอง (อิอิ ทำไปได้) เพราะอยากเล่นม๊ากมาก เนื่องจากอยากแอบอยากรู้ความลับของคนอื่นๆ (อิอิ)


เริ่มต้นจาก เรื่องแรกก้อคือ จำได้ว่า ตอนเด็กๆ ไม่มีใครคิดว่า เราอะ เป็นผู้หญิงสักคน เริ่มตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล ก้อมีคนมาทักแม่ว่า "โอ๊ย ลูกชายหรือคะ น่ารักจังเลย" แป๋ว อยากจะบอกว่า เจ๊ๆ ฉันเนี้ย ผู้หยิ่ง นะยะ ไม่ใช่ผู้ชายยยย เท่านั้นยังไม่พอ อีกสาเหตุหนึ่ง ก้ออาจเพราะว่า เท่าที่จำความได้ ตอนเด็กๆ เนี้ย ไม่เคยได้ไว้ผมยาวเลย ซึ่งเมื่อมันบวกกับหน้ากลมดิ้ก เป็นซาลาเปาเนี้ย เอาเป็นดูกันไม่ได้เลย หลังจากที่ได้ทำการปฏิวัติสำเร็จไปหนึ่งครั้ง ตอน ปอเตรียม (ไม่รู้ว่า ใครได้เรียน เตรียมประถม ในตอนนั้นบ้างนะ) ได้ไว้ผมยาวเป็นครั้งแรก แต่แล้วก้อเหมือนสวรรค์ลงสาป เมื่อไปรับเชื้อ "..เหา.." จากเพื่อนคนหนึ่ง หลังจากนั้นแล้ว ตลอดประถมศึกษา ดิฉันเคยมีผมยาวเกินบ่าเลย หม่อมแม่จะทำการเฉียนผม ออกทุกครั้งที่มันเริ่มเข้าเลยติ่งหู (เส้าจิงๆ) ด้วยเหตุนี้ละมั่ง ดิฉันถึงเป็นผู้ชาย ที่ใส่กระโป่ง ไปโรงเรียน ตลอดประถมศึกษา ...เห๋ย เซ็ง... (อายจิงๆ)


เรื่องสอง ก้อคือ จำได้ว่า ครั้งแรกที่เริ่มอ่านหนังสือสอบเหมือนชาวบ้านเค้าเนี้ย ก้อประมาณ เทอมสุดท้ายของประถมหก ตลอดระยะเวลาการเริ่มต้นเข้าเรียนหนังสือตั้งแต่สองขวบกว่าๆ เนี้ย ไม่เคยอ่านหนังสือสอบเลย แต่ผลการสอบก้อกลางๆนะ แบบว่า ทั้งห้องสามสิบคน ช่วงป.1-ป.3 เนี้ย ก้อประมาณ ที่ยี่สิบ (ภาษาจีน) และ ประมาณที่สิบเศษ (ภาษาไทย) (อิอิ ทำไปได้) คือ โรงเรียนเป็นแบบ international Thai-Chinese อะ (คือแบบว่า ตอนนั้น จีนเป็นคอมฯ เราเนี้ยโดนเพื่อนบ้านล้อบ่อยๆ ว่า พวกคอมฯ โห่ ไม่ค่อยเลย) ครั้งแรกที่อ่านหนังสือสอบเนี้ยนะ มันยังเป็นภาพติดตาอยู่เลย ที่บ้าน และคนแถวบ้าน ค่อนข้างตกใจมากๆ เหมือนเป็นอะไรที่ไม่มีใครเคยเห็นก้อว่าได้ แม่กับอาม่าข้างบ้านเนี้ย ตกใจกันใหญ่ ดูแลเราอย่างดี หาของบำรุงร่างกายอย่างสุดๆ แต่ก้อทำได้อยู่ประมาณ ไม่ถึงอาทิตย์อะ ก้อเลิก (เพราะสอบเสร็จแล้ว)


เรื่องที่สามนะ คือเป็นเรื่องราวที่ว่าต่อมาจากเรื่องที่สองละ ไม่รู้ว่าจะมีใครเคยเจอแบบนี้ไหมนะ ตอนป.1 เนี้ย ยังอ่านหนังสือไม่ออกเลย แม่กลุ้มใจมาก เลยไปขอพบคุณครูประจำชั้น เพื่อขอให้ลูกสาวผู้สาวผู้น่ารักคนนี้ "เรียนซ้ำชั้น" คุณครูก้องงๆ เพราะปกติแล้ว ไม่ค่อยมีใครเค้าทำกันหรอก จำได้ว่า แม่ไปอ้อนวอนคุณครูอยู่นาน แต่ด้วยเดชะบุญคุ้ม อิอิ แม่ทำไม่สำเร็จ เราก้อเลยได้ขึ้น ป.2 ตามเพื่อนๆ ไป


เรื่องที่สี่ แม้จะเป็นเด็กดื้อและซนอย่างสุดชีวิต (แบบว่า ซนสุดๆ จนโดนตีเกือบทุกวัน) แต่กลับเป็นคนที่ทำกิจกรรมอะไรแล้วไม่รุ่งเอาซะอย่าง เริ่มต้นจาก การเล่นดนตรีไทย ตลอดมัธยมต้น จนในปีสุดท้าย ได้ไปรวมงานดนตรีไทย กับสมเด็จพระเทพฯ ที่โรงเรียนวัดสุทธิฯ ด้วยนะ แต่อายมากๆ เลย เพราะดนตรีที่เล่นได้เพียงอย่างเดียว ภายหลังจากการพยายามมาตลอดสามปี ก้อคือ อังกะลุง นั่นเอง ตอนแรกด้วยความที่คิดว่า เราเนี้ย ผู้หยิง ผู้หญิง ดังนั้น ต้องนี่เลย ..ขิม.. คะ ขิม เล่นไปเล่นมา ไม้ขินหัก ต้องไปซื้อมาใช้คืนรุ่นพี่เค้าอีก (เส้าจิงๆ) ยังๆ ยังไม่เลิกความพยายาม เล่นต่อด้วย ระนาดเอก และระนาดทุ้ม แต่แล้วเหมือน ฟ้าไม่เป็นใจ เมื่อหัวไม้ระนาดกระเด็นกระดอน ออกจากตัวไม้ เอาเลิกๆ เอาใหม่ ตามมาด้วย ฆ้องวง คะ ฆ้องวง ผลก้อคืน ลูกตะกั่ว มันหลุด เพราะตีแรงไปหน่อย แต่ก้อยังไม่ลดละความพยายาม จะบอกว่า ตีฉิ่ง ให้เข้าจังหวะเนี้ย ยังตีไปตีมา มันตีมือตัวเอง ก้อเลยเลิกลาซะกับวงการดนตรีไทย ในปีสุดท้าย ก้อมาหัดเล่นกีฬาคะ จะบอกว่า เคยไปแข่งด้วยนะ ได้เหรียญเงิน (เพราะแข่งกันสองคน) กีฬาที่ว่า ก้อคือ ยูโด คะ จำได้ว่า ซ้อมแบบสุดๆ ตื่นไปยิม ตั้งแต่แปดโมงเช้า กลับบ้านตอนสามทุ่ม ทุกวันตลอด summer แต่สุดท้าย ความฝันนี้ก้อสิ้นสุด เมื่อวันที่ได้ขึ้นท่าทุ่ม (ตอนแรกตั้งใจว่า จะเล่นไว้ ป้องกันตัว เวลาถูกเพื่อนแกล้ง จะจับมันทุ่มซะ) เพื่อนสุดรักของเรา มันดันเล่นไม่เซฟ เลย เราเนี้ย ขาฉีก จนต้องเข้าโรงพยาบาล ไปโรงเรียนไม่ได้ตั้งเกือบสองอาทิตย์ รวมทั้ง วันต่อมานั้น คือวันเข้าค่าย ปีสุดท้ายของมอต้น เราเลิกอดไป แล้วยังต้องมานั่งทำรายงานส่งอีก ซวยจิงๆ


เรื่องสุดท้าย จำได้ว่า ตอนแรกที่ไปปิ๊งรุ่นพี่คนหนึ่ง ตอนม.1 เนี้ย แบบว่า เขินอายแบบสุดๆ เอาประมาณว่า เดินเข้าใกล้ในระยะร้อยเมตรเนี้ย ทำตัวไม่ถูกเลย แล้วทุกครั้งที่นั่งรถผ่านหน้าบ้านเค้าเนี้ย เพื่อนๆ เนี้ยล้อซะ จนบิดตัวเป็น ขนมโตเกียวเลย อย่างเขินเลยน๋านะ (ตอนเนี้ย ไม่เป็นละ หน้ามันเริ่มด้านและทนขึ้นทุกวัน อิอิ)


อะ เราอะ เล่าแล้ว คนต่อไปที่เราอยากรู้ก้อคือ taswan, orawan, Muffin, Pao, teddyboy อย่าลืม Tag นะแล้วเราจะตามไปดู อิอิ (เล่ามาเลย ห้าเรื่อง)



Sunday, January 21, 2007

วาทกรรมเรื่องความสุข

เย้! เย้!! สุดท้าย ความพยายาม ก้อค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างแล้ว

ชีวิตฉันค่อยกลับเข้าสู่ชีวิตปกติหน่อย หลังจากเป็นคนเหม่อลอย มาตลอดสัปดาห์ จนมีเรื่องโก๊ะ โก๊ะ ให้ ขำๆ เริ่มต้นจากการยืนใจลอยในห้องสมุด จนบรรณารักษ์ต้องตะโกน ถามเป็นรอบที่สามว่า "ทำอะไรคะ" จึงดึงวิญญาณกลับคืนร่าง แล้วตอบไปว่า "ยือ ยืม หนังสือ คะ" ตามมาด้วย การแซว ว่า "เล่นมิวสิคหรือ มี่"และตบท้ายด้วย การฟังปล่อยในสมาชิกในครอบครัว พูดคนเดียว จนน้อง และแม่ เริ่มน้อยใจ ว่า เป็นไร ไม่ให้ความสนใจ รวมทั้ง เกือบตกบันได ชั้นสาม หน้าห้อง MA อีก (เพราะใส่รองเท้า คู่ใหญ่จัด เลยเหยียบเท้าตัวเองซะงั้น ดีนะ มีการเรียนรู้การทรงตัวที่ดี ไม่งั้นละ หมดสวยเลยงานนี้) เห๋ย...

คือ เรื่องมันเกิดจาก วิทยานิพนธ์ สุดเลิฟ เนี้ยละนะ ภายหลังจากการกลับไปเยี่ยม พี่ๆ เพื่อนๆ มา แล้ว ได้คุยกับพี่คนหนึ่ง ซึ่งเราเรียกการสนทนาครั้งนั้นว่า วาทกรรมแห่งความสุข (อิอิ อาจเข้าใจผิดนะ ไม่ได้หมายความว่า คุยกับ sb แล้ว Hap นะ) เค้าได้ให้ข้อคิดเห็น ภายหลังจากการพยายามอธิบายให้เค้าฟังว่า สิ่งที่เรียกว่า experienced utility ที่เราใช้เป็นหลักนั้น มันเป็น พัฒนาการของ Neo-classic หรือเปล่า ประเด็นมันไม่ใช่ว่า เป็นแล้วดีหรือไม่ดีนะ

แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เราอยากได้กรอบที่มีกลิ่นไอของวัฒนธรรมตะวันออก ในตัวของมันเอง เลยคิดว่า อืม ถ้าเป็นยังงี้แล้ว กรอบที่ถูกพัฒนาจากแนวคิดตะวันตก เนี้ยจะมีผลต่อมุมมองความสุขของคนตะวันออกไหม เพราะรากฐานความคิดมันแตกต่างกัน (คือ คิดไกลไปโน่น) แต่ก้อดีนะ เพราะจากความกังวลเนี้ย เราเลยพยายามหางานไทยๆ หรือแนวคิดตะวันออกต่างๆ ว่า มันต่างกันยังไง ในรากฐานคิด จนมึนหัวไปหมด

แล้วก้อต้องจบด้วยการ หาใครสักคนที่แบบว่า ใช่เลย เหยื่อละ มาคุยเรื่องนี้ กับฉันหน่อย ฉันจะเล่าให้ฟัง แสดงความคิดเห็นนิดดิ แล้วก้อไม่พ้น เพื่อนสุดเลิฟ อีกเช่นกัน ที่เวร ตา ระ กรรม ตกแก่มัน ต้องตื่นมารับโทรศัพท์ ตอนเที่ยงคืน ตีหนึ่ง แล้วถูกขอร้อง แกมบังคับ ให้สนทนา วาทกรรมเรื่องความสุข ต่อ อีกสักชั่วโมง ก่อนปล่อยมันไปนอน ซึ่งมันก้อดี ยังไม่ง่วง แต่ง้วงเงี้ย แบบสุดๆ จนหลังๆ เริ่มคุยไม่รู้เรื่อง แต่สุดท้าย ก้อได้จุดดุลยภาพ ของทั้งกรอบตะวันตก และกลิ่นไอตะวันออก อิอิ

แต่อย่างไรก้อตาม ก้อยังไม่รู้นะว่า มันจะหมู่ หรือ จา หรือว่า ศาลาวัด กันแน่ แต่ที่รู้แน่ๆ ต้องให้เสด็จพ่อ ตรวจ proof เสียก่อน แล้วต้องขาย idea ให้พระสหายของท่านฯ ยอมรับให้ได้ ข้าน้อยจึงจะมีความหวังที่จะมีชีวิตต่อไป อิอิ


p.s. This is Daniel Kahneman who created "experienced utility" and got 2002th Noble-prize.


Tuesday, January 16, 2007

ไร้กรอบ

จาก forward e-mail หนึ่งที่ได้รับมานั้น คนเขียนเขาให้ชื่อเรื่องนี้ว่า ..ไร้กรอบ..

เมื่ออ่านแล้วรู้สึกชอบมากๆ เพราะว่าเราได้ซาบซึ้งถึงกลิ่นไอของจิตวิญญาณบางอย่างที่ขาดหายไป ภายหลังการก้าวไปข้างหน้าของโลกทุนนิยม ที่ในแต่ละวันๆ เราต้องแข่งขันทั้งกับตนเอง และคนอื่น เพื่อให้ได้ไปเป็นคนๆ นี้ คนบนนั้น อะไรสักอย่าง แบบที่เราต้องการ เรื่องนี้ใครบ้างคนคงเคยได้อ่าน หรือได้ยินมาบ้างแล้วก้อเป็นได้ แต่มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่แสนประทับใจจึงอยากเอามาเล่าให้ฟังกัน (เผื่อว่า ยังมีใครไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง) เพราะความซาบซึ้งนี้ มันทำให้ได้สติ เพื่อจะเตือนตนเองอยู่เสมอๆ


เรื่องมีอยู่ว่า


***เคยได้ยินชื่อ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ ไหม??
เขาเคยเป็นวิศวกรขององค์การอวกาศนาซา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน

เคยได้รับรางวัลงานวิจัยที่ดีที่สุดระดับโลกเกี่ยวกับเครื่องยนต์ไอพ่น
ตัดสินใจกลับเมืองไทยเพราะ
1.อยากดูแลพ่อแม่
2.ไม่อยากเป็นพลเมืองชั้นสองในบ้านพักคนชรา
3.อยากเที่ยว และ
4.ชอบกินอาหารอร่อย

เคยเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก่อนจะออกมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาของตัวเอง
ประทับใจบทสัมภาษณ์ของ ดร.วรภัทรใน "เสาร์สวัสดี" ของ "กรุงเทพธุรกิจ "
เมื่อประมาณ 1-2 เดือนก่อนมาก
คนอะไรก็ไม่รู้ ชีวิตมันส์เป็นบ้า ความคิดก็กวนเหลือหลาย


ตอนที่เขาเป็นอาจารย์ วิธีการสอนหนังสือของเขาแปลกกว่าคนอื่น

"ผมออกนอกกรอบตลอดเวลา " เขาบอก
เขาเคยพาเด็กวิศวะไปที่ริมสระว่ายน้ำ เรียนไปและดูนิสิตสาว ๆ ว่ายน้ำไป
ด้วยคาดว่า คงไปเรียนเรื่อง "คลื่น"ระหว่างท่าฟรีสไตล์ กับท่าผีเสื้อ
คลื่นที่เกิดขึ้นของท่าไหนถี่กว่ากัน
และระหว่างชุดทูพีซกับวันพีซ "แรงเสียดทาน" กับน้ำ ชุดไหนมากกว่ากัน

แนวการศึกษาน่าจะออกไปทำนองนี้

แต่ที่ชอบที่สุดคือตอนที่เขาออกข้อสอบ ข้อสอบของเขาสั้นและกระชับมาก
"จงออกข้อสอบเอง พร้อมเฉลย"


โหย...เด็กวิดวะอึ้งกันทั้งห้อง
คำตอบส่วนใหญ่เป็นการตั้งโจทย์แบบง่ายๆ เช่น ปั้นจั่นมีกี่ชนิด

ผลปรากฎว่าได้ศูนย์กันทั้งห้อง
เพราะเป็นคำตอบที่ไม่ได้แสดงความคิดที่ลึกซึ้งสมกับที่เรียนมาทั้งเทอม

เหตุผลที่ ดร.วรภัทรออกข้อสอบด้วยการให้นิสิตออกข้อสอบเองเป็นเหตุผลที่ตรงกับใจผมมาก

"ชีวิตคนเราจะรอให้อาจารย์ตั้งโจทย์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องหาโจทย์มาเอง คิดแล้วทำ ถ้าผิดแล้ว
อาจารย์จะปรับให้"


เขามองว่า "เด็กรุ่นใหม่ติดนิสัยเด็กกวดวิชา รอคนคาบทุกอย่างมาป้อนให้ไม่รู้จักคิดเอง"

"ถ้ารอและตั้งรับ คุณก็เป็นพวกอีแร้ง แต่พวกคุณแย่กว่าเพราะเป็นแค่ลูกอีแร้ง คือ รออาหารที่คนอื่น ป้อนให้"



โหย...เจ็บ เชื่อมานานแล้วว่า

...ชีวิตของคนเราเป็นข้อสอบอัตนัยที่ต้องตั้งโจทย์เองและตอบเอง ไม่ใช่ข้อสอบปรนัยที่มีคนตั้งโจทย์ และมีคำตอบเป็นทางเลือก ก-ข-ค-ง ถ้าใครที่คุ้นกับ "ชีวิตปรนัย"ที่มีคนตั้งโจทย์ให้และเสนอทางเลือก 1-2-3-4 คนคนนั้นชีวิตจะไม่ก้าวหน้า เพราะต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลาติดกับ "กรอบ" ที่คนอื่นสร้างให้ไม่เหมือนกับคนที่รู้จักคิดและตั้งคำถามเอง...

เรื่องการตั้งคำถามกับชีวิตเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าลืมว่า ...เพราะมี "คำถาม" จึงมี "คำตอบ" เมื่อมี "คำตอบ" เราจึงเลือกเดิน ...

พูดถึงเรื่องการตั้งคำถาม ผมนึกถึง"โสเครติส" เขาเป็นนักปรัชญาเอกของโลกที่สอนลูกศิษย์ด้วยการสนทนา

ตั้งคำถามให้ลูกศิษย์ตอบ สร้างองค์ความรู้จาก "คำถาม"

กลยุทธ์ของ "โสเครติส" ในการสอนคือ ไม่ให้ความเห็นใดๆ แก่นักเรียน และทำลายความมั่นใจของนักเรียนที่เชื่อว่าตนเองรู้

...."โสเครติส" เชื่อว่าเมื่อเด็กตระหนักใน "ความไม่รู้" ของตนเองเขาจะเริ่มต้นแสวงหา "ความรู้"....
แต่ถ้า ....เด็กยังเชื่อมั่นว่าตนเองมี "ความรู้" เขาก็จะไม่แสวงหา "ความรู้"....

การตั้งคำถามของโสเครติส จึงมีเป้าหมายโจมตี และทำลายความเชื่อมั่นในภูมิความรู้ของนักเรียน

เป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า

....เท "น้ำ" ให้หมดจากแก้ว เมื่อแก้วไม่มีน้ำแล้ว จึงเริ่มให้เขาเท "น้ำ" ใหม่ใส่แก้วด้วยมือของเขาเอง....

"น้ำ" ที่ลูกศิษย์แต่ละคนเทลงแก้วด้วยมือตัวเองมาจาก "คำตอบ" ที่เขาค้นคิดขึ้นมาเอง

"คำตอบ" จาก "คำถาม"ของ "โสเครติส"


"โสเครติส" นิยามศัพท์คำว่า "คนฉลาด" และ "คนโง่" ได้อย่างน่าสนใจ

"คนฉลาด" ในมุมมองของ "โสเครติส" นั้นไม่ใช่คนที่ รู้ทุกเรื่อง


แต่ ...."คนฉลาด" คือ คนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ ....

ส่วน ...."คนโง่" นั้น คือคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ แต่ทำตัวราวกับเป็นผู้รู้ ....


***ไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้ผมยังมีความภาคภูมิใจใน "ความรู้" ของตนเองแต่พออ่านถึงบรรทัดนี้ทำไมผมเริ่มรู้สึกว่า ตัวเองไม่รู้อะไรเลย***

จริงๆ แล้ว มันเกิดคำถามขึ้นมาในหัวทันทีว่า ใบปริญญารับรององค์ความรู้ต่างๆ ที่ได้มานั้น มัน confirm ได้เปล่าว่า เรารู้จริงๆ เพราะตราบเท่าที่โลกมันไม่หยุดนิ่ง สิ่งที่เราเรียนรู้ว่า ถูกต้อง ใช่ และดีในวันนี้ มันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ถูกต้องในวันพรุ่งนี้ ตราบเท่าที่การค้นหา และการค้นพบไม่สิ้นสุดลง

การเรียนที่สูงขึ้นๆ นั้น มันเป็นเพียงแค่หลักสูตรหนึ่งที่ ทำให้เราฝึกฝนตนเอง ให้มีทักษะในการค้นหา เพื่อพัฒนา ปรับปรุงสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ ฝึกให้เราอดทน ฝึกให้เราคิดและค้นหาต่อไปเลยๆ ไม่ใช่ทรนงกับสิ่งที่มีอยู่ หรือได้มา หรือเปล่า เพราะตราบเท่าที่ การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อคิดที่จะเรียนรู้ ดังนั้นแล้ว ใบปริญญาที่เราภาคภูมิใจกันหนักหนาว่า เราได้มาจากความยากลำบากนั้น มันอาจเป็นแค่ใบเบิกทางสู่ชีวิตในวันข้างหน้า และการตามหาความฝันของเรา เท่านั้น

อืม เกือบลืมเล่าให้ฟัง
จริงๆ แล้วมีรุ่นพี่คนหนึ่ง เขาเป็นคนที่ทำให้เรารู้ได้ว่า คนที่ดำเนินชีวิตตามความฝันของตนเอง และเรียนรู้ เพียงเพราะแค่อยากรู้ มันเป็นยังไง

พี่เค้าไม่เคยสนใจว่า อาจารย์จะให้เกรดเท่าไร?
จะสอบตกหรือเปล่า?
หรือใครจะมองยังไง?

แต่เค้าจะบอกแค่ว่า พี่สนใจเพราะที่อยากรู้ และพี่ก้อมีความสุขกับการเรียนรู้มัน แค่ไหน
พี่ไม่ใช่คนที่สอบได้ Top
พี่ไม่ใช่คนที่เป็นคนที่พูดให้คนอื่นๆ ฟัง

แต่พี่เป็นคนที่โด่ดเด่นในสายตาของพวกเรา เพราะเขาเป็น model ที่ดี ของคนที่แรงจูงใจในการเรียนรู้ ค้นคว้าหาความรู้

มันเป็นความรู้สึก ดีใจมากๆ ที่ความฝันของเค้า คือการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เพราะนั่นหมายความว่า จะมีกลุ่มคนที่โชคดีมากๆ กับทรัพยากรบุคคลผู้นี้ เพราะเขากับหัวใจของเขา มันคงจะรังสรรค์ความสวยงามให้เกิดขึ้น แก่คนอื่นๆ ได้อีกมากมาย



p.s. ขอบคุณนะคะพี่ ที่เป็นหนึ่งในตัวเดินเรื่องในครั้งนี้ และก้อขอบคุณคนที่ส่งเมล์ฉบับนี้มา ที่ได้แบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้กัน ขอบคุณที่ดร.วรภัทร และโสเครติส ที่ทำให้โลกใบนี้สวยงาม

Monday, January 15, 2007

Tuesday, January 09, 2007

สารภาพ

อืม วันนี้นะ ได้ไปอ่านบล็อกเพื่อนๆ ด้วย แล้วพบว่า สิ่งที่ in-trend ต่อนี้ก้อคือ "Blog-Tag"

อ่านตอนแรกๆ ของ pickmegadance ก้อ งงๆ อยู่ ว่า มันคือ อะไรวะ แต่ด้วยความอยากรู้ ก้อเลยตามอ่านย้อนหลังถึงที่มาของมัน

ออ ก้อเลยเข้าใจว่า มันคือการเปิดเผย เรื่องลับๆ แบบ Top-secret นะ ที่แบบว่า สุดยอด หรือ สุ๊ด..ยอด อะไรแบบนี้

อื้ม พอมานั่งคิดๆ ดูนะ ว่า เรามี Top-secret อะไรในชีวิตบ้างนะหรือ คิดแล้วก้องง ๆ เหมือนกันว่า ไอ้ Top-secret เนี้ย มันต้องมีนิยามแบบไหนว้า มันถึงจะเป็นยออออด

คิดไปคิดมา แล้วก้อปวดหัว ไม่ใช่ว่า มี หรือ ไม่มีนะ แต่ก้อไม่รู้จะเอาอะไรดี

คิดแล้วคิดอีก ก้อเอาเป็นยังงี้คงจะดีกว่า

คือแบบว่า แต่ก่อนอะ ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่า ไอ้อาการแบบที่เราเรียกมันว่า ...ศิลปิน... อะ
(คือ อาการที่ใช้เรียกคนที่มีโลกส่วนตัว ไม่ใช่สิ คืออาการแบบขึ้มๆ อะ หรือจะยังไงก้อช่าง มันก้อคือ แบบเงียบๆ อะ)
เคยคิดอยู่ว่า อืม มันอยู่ได้อย่างไงวะ เงียบๆ อยู่คนเดียว อะไรแบบนี้
อาจจะเพราะเป็นคนชอบแบบมีเสียงหัวเราะ จากคนเยอะๆ มั่ง

จนวันหนึ่ง ได้มาพบอาการที่เกิดขึ้นก้อคือ ไม่อยากโทรศัพท์ ไม่อยากรับโทรศัพท์ นั่งเล่นคอมฯ ทั้งวัน หรืออะไรแบบนี้

อืมก้อเลย เข้าใจว่า อืม มันนิ่งๆ ดีจัง นอกจากนี้นะ มันยังสอนให้ทำอะไรโดยมีหลักตรรกะ เป็นของตัวเองอีกด้วย ตัวอย่างเช่น การให้เหตุผลในหลายๆ การกระทำว่า


ขี้เกียจออกจากบ้าน เพราะรถติด
ขี้เกียจคุย เพราะเวียนหัว
ขี้เกียจกินข้าว เพราะต้องล้างจาน
ขี้เกียจอาบน้ำ เพราะมันหนาว
ขี้เกียจดูทีวี เพราะมันเครียด

และสุดท้าย ขี้เกียจไปเจอคน เพราะชอบถามว่า
...เมื่อไร! จะจบสักที ...
หรือ ...จบแล้วหรือ ทำงานที่ไหนละ...
หรือ ...ทำอะไรอยู่อะ...
หรือ ...อื่นๆ อีกมากมาย...


สุดท้าย คำถามเด็ดๆ ...วิทยานิพนธ์ ถึงไหนแล้ว...



โอ๋ แม่เจ้า! (เจอคำถามสุด Classic แห่งปีอีกแล้ว) แต่ตอบด้วยคำตอบจากใจจริง พร้อมกับรอยยิ้มที่ส่งไปว่า


"... อืม.. คะ คะ คะ/ อืม ทำอยู่คะ คะ คะ ..."



แต่อย่างไรก้อตาม ก้อรู้ว่า ทุกคนหวังดีจริงๆ ละ แล้วก้อต้องบอกให้เขาสบายใจ กับคำตอบสุด classic ที่ว่า


''...ขอบคุณม๊ากมาก นะคะ ในที่เป็นห่วง แต่กำลังพยายามทำอยู่คะ..."

อะไรแบบเนี้ย...........



นี้ละมั่ง สาเหตุที่แท้จริง ของ ...ความสงบที่เกิดขึ้น... ในช่วงนี้

..............................................



Saturday, January 06, 2007

ก่อนมะลิจะบาน

มิตรภาพ จะยังคงอยู่ในใจ
.....
ระหว่างเรา
จะมีสิ่งใดน่ายินดีไปยิ่งกว่า
การได้ใช้เวลาที่มีอยู่
โอบเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน



โดย Time อัลบัม 24 ชม.


มันเป็นประจำตรงสี่แยกนี้ ที่รถมันติดเหลือเกิน


แต่ใครๆก็คงต้องผ่าน บังเอิญวันนั้นได้เหลือบไปเห็น


แววตาของเด็กน้อยนั่งมองเหมื่อ อยู่ริมข้างฟุตบาท


เลยสะกิดใจ ค่อนข้างห่วงเขาเป็นอะไร จึงได้ทักไป


ให้ช่วยไหม ได้ฟังเขาตอบ น่าแปลกใจ



* ก็อยากให้ไฟแดงนานกว่านี้หน่อย เผื่อว่าจะได้ขายมาลัยให้หมด


ถ้าหากว่าวันนี้มีไปเขียวบ่อย ก็คงขาดทุน


ไม่มีใครอยากซื้อมะลิบานๆ



และทุกหนนี้ต้องผ่านทางนั้น ที่รถมันติดเหลือเกิน


แต่ตัวฉันไม่เคยจะเบื่อ


เพราะฉันนึกถึงคำตอบเด็กน้อย ที่คอยเตือนใจฉันให้รู้สึก ให้นึกถึงคนอื่น


ลองเอาใจเขา เข้ามาใส่หัวใจสักที โลกในแง่ดี


มีความหมาย ให้ฉันได้เปลี่ยน เปลี่ยนความคิด


(ซ้ำ *)


(ซ้ำ * , *)





Friday, January 05, 2007

จินตนาการ

เคยได้ยินมาว่า


"...มนุษย์สร้างได้ทุกอย่าง เริ่มต้นจากจินตนาการ..."



ในความเป็นจริงแล้ว


มันเป็นสิ่งที่เกิดให้เห็นเสมอๆ

....................


ในจินตนาการของใครบ้างคน


มันกลับกลายเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น


เมื่อใครเหล่านั้น ไม่หยุดมันไว้


เพียงแค่


"...จินตนาการ..."






Tuesday, January 02, 2007

ไม่บังเอิญ

บังเอิญหา

บังเอิญเจอ

แต่ไม่บังเอิญเอามา post ไว้

เผื่อ บังเอิญว่า จะมีใครบางคนคิดถึง "...อะไรๆ ที่ไม่บังเอิญ..."


.....................

ไม่บังเอิญ - กุลวัฒน์ พรหมสถิตย์


หากบังเอิญสายตาเธอ จะผ่านมาที่ฉัน

แหละเธอนั้นบังเอิญจะสนใจ

หากบางทีหัวใจเธอเจอสิ่งที่ซ่อนไว้

ก็คงเพราะว่าใจเราตรงกัน


แต่มันคงไม่มีทางเป็นอย่างที่คิดไว้

แหละเราไม่มีทางจะรักกัน

แหละไม่มีเรื่องบังเอิญจะเกิดขึ้นทั้งนั้น

เพราะฉันคิดฝันไปคนเดียว

*อยู่กับความเหงา

กอดกับความฝัน

อยู่กับความหวังที่มันยังไม่หายไป

อยู่กับความรักที่มันบังเอิญ ไม่เป็นใจ

เพราะไม่มีทางจะมีเธอ


ก็คงเป็นเพราะความจริง มันต่างจากที่ฝัน

แหละเธอนั้นไม่เคยจะสนใจ

แต่บังเอิญฉันยืนยันจะเก็บความฝันไว้

เก็บมันไว้ให้เธอเพียงคนเดียว

(ซ้ำ *)

มีเพียงความเหงา มีเพียงความ ฝัน

เพียงเธอเท่านั้นที่มันยังขาดหายไป

ก็มีความรัก แต่เธอบังเอิญ ไม่มีใจ

ฉันไม่มีทางจะมีเธอ


"...ก็ฝันว่าซักวันจะมี เธอ..."