ทัศนะจากนานาชาติเรื่องความสุข: บทสรุปจากการประชุมเรื่อง ความสุขและนโยบายสาธารณะ (ตอนที่ 3)
โดย กนกพร นิตย์นิธิพฤทธิ์
สำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ (สพน.)
สำนักนายกรัฐมนตรี
สำนักงานพัฒนานโยบายสาธารณะ (สพน.)
สำนักนายกรัฐมนตรี
จากประเด็นที่ว่า “อะไรสามารถนำไปสู่การเพิ่มและพัฒนาของสุขของประชาชน” และ “ทำอย่างไรจึงจะสามารถทำให้ประชาชนมีความสุขได้” ทำให้มีความจำเป็นที่จะต้องหาคำตอบให้ได้ว่า สิ่งที่ได้ทำไปนั้นทำให้ประชาชนเกิดความสุขอย่างแท้จริงหรือไม่ คำถามเหล่านี้ นำมาสู่การศึกษาเรื่องปัจจัยที่มีผลต่อการดำรงชีวิตอย่างมีความสุขของประชาชน โดยงานศึกษาที่ได้รับความนิยมในทางตะวันตกส่วนใหญ่จะเป็นการทดสอบโดยใช้เครื่องมือทางเศรษฐมิติ (Econometrics) มาประกอบการศึกษา อาทิเช่น งานศึกษาของ Richard A. Easterlin และอรณิชา สว่างฟ้า ได้ทำการศึกษาเรื่องความสุขและความพึงพอใจในด้านต่างๆ หรือ “Happiness and Domain Satisfaction” โดยค้นพบว่า ผลการทดสอบการรายงานความสุขที่เป็นอัตวิสัย (Subjective) เช่น ความพึงพอใจด้านการเงิน, ความพึงพอใจด้านสุขภาพ, ความพึงพอใจด้านงาน และความพึงพอใจด้านครอบครัว ไม่ได้มีผลแตกต่างจากการใช้ข้อมูลเชิงวัตถุวิสัย (Objective) ไม่ว่าจะแยกเป็นกลุ่มอายุ เพศ ระดับการศึกษา สถานภาพการสมรส ที่แตกต่างกัน ขณะที่ Bernard Van Den Berg ก็ได้เสนอประเด็นเรื่องสุขภาพและความสุขที่น่าสนใจว่า ในฐานะที่สุขภาพเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานในการมีความสุขของบุคคล ดังนั้น นโยบายสาธารณะด้านสุขภาพจะมีประโยชน์มากน้อยต่อประชาชน ขึ้นอยู่กับสถานะและลักษณะเฉพาะด้านสุขภาพของประชาชนในแต่ละสังคม
Paul Frijters และ Takayoshi Kusago ได้เสนอแนวคิดที่สอดคล้องกันว่า การใช้นโยบายที่แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นการเพิ่มความสุขของประชาชน แต่ในความเป็นจริงนโยบายเหล่านั้น ก็อาจกระทบปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อให้ความสุขของประชาชนเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม ตัวอย่างเช่น การสร้างถนนหนทางที่มากขึ้น แม้จะเป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และนำมาซึ่งความสะดวกสบาย แต่การเดินทางของประชาชนมากขึ้น ก็ทำให้คนมีชีวิตที่อยู่กับครอบครัวน้อยลงและการไหลเข้าของการเป็นสังคมวัตถุนิยม เช่นเดียวกับประเด็นเรื่องการมีการศึกษาที่สูง แม้จะเพิ่มโอกาสของความสามารถในการมีรายได้ที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ลดเวลาอยู่ร่วมกันในครอบครัวเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ จึงนำไปสู่ข้อเสนอที่ว่า นโยบายสาธารณะควรแตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของแต่ละประเทศ โดยผู้ออกนโยบาย จำเป็นต้องประเมินว่า ประเด็นใดเป็นประเด็นที่ประชาชนของตนให้ความสำคัญ เพราะในความเป็นจริง แต่ละประเด็น (Domain) และปัจจัย (Factor) ก็อาจจะมีผลทั้งในทิศทางที่เกื้อกูลกัน ขัดแย้งหรือลดทอนความสุขของประชาชนก็เป็นได้
นอกจากนี้ Paul Frijters, Paolo Verme และนักเศรษฐศาสตร์อื่นๆ ยังได้เสนอประเด็นที่ว่า การเพิ่มขึ้นของรายได้ และความมั่งคั่ง ควรเพิ่มในกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย เพราะจะทำให้ความสุขรวมของประเทศเพิ่มขึ้นได้มากกว่าการเพิ่มขึ้นของคนที่มีรายได้ปานกลางถึงมาก เนื่องจากอรรถประโยชน์หน่วยสุดท้าย (Marginal Utility) ของคนที่มีรายได้น้อย จะมีมากกว่ากลุ่มอื่น ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาของ Richard Easterlin และ Robert A. Cummins ที่ว่า การเพิ่มขึ้นของรายได้ในสังคมตะวันตก ไม่ได้นำมาซึ่งความสุขที่เพิ่มขึ้นเสมอไป นอกจากนี้ ข้อสรุปยังได้สนับสนุนแนวคิดเรื่องการลดลงของช่องว่างทางรายได้ ที่สอดคล้องกับการให้เหตุผลทางจิตวิทยาที่ว่า ความเท่าเทียมกันของรายได้ จะนำไปสู่การเพิ่มขึ้นของความสุขทางอัตวิสัย (Subjective well-being) เนื่องจากบุคคลจะไม่รู้สึกแตกต่างกันในสังคม ดังนั้น นโยบายสาธารณะจึงควรให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องความเท่าเทียมกันทางรายได้ และปรับใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในชีวิตประจำวัน แก้ปัญหาความยากจน รวมทั้งการมีมาตรการที่ลด หรือกระตุ้นความอยากในการบริโภคอย่างฟุ่มเฟือยเกินความเหมาะสม เนื่องจากภายใต้กลไกทางจิตวิทยา เมื่อมีการรับรู้ด้านวัตถุมากเกินไปจะทำให้คนรู้สึก “จน” จากการเปรียบเทียบกับสิ่งที่เห็น และจะกระตุ้นความต้องการของบุคคล จึงทำให้ความสุขของคนลดลงนั่นเอง
ประเด็นการนำเสนอในระดับความร่วมมือของสากลที่น่าสนใจ ได้แก่ การเสนอของ Allister McGregor จาก University of Bath ประเทศอังกฤษ ที่ได้เข้ามาศึกษาวิจัยในประเทศไทย ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โดย McGregor ได้นำเสนอประเด็นของการจัดทำเรื่องความสุขให้เป็นกรอบหนึ่งของนโยบายการพัฒนาระดับนานาชาติ จากเดิมที่เน้นแนวคิดของความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าเป็นหลัก รวมทั้งได้มีการเสนอให้มีการจัดตั้งกระทรวงพัฒนาความสุขอีกด้วย
นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของผลลัพธ์ที่ได้จากงานประชุมสัมมนานานาชาติ เรื่องความสุขและนโยบายสาธารณะในครั้งนี้ โดยภายหลังจากการสรุปรวมรายงานวิจัยเสร็จสิ้น ประเทศไทยคงได้แนวคิดและทิศทางใหม่ รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้เพื่อการพัฒนาประเด็นเรื่องความสุขของประชาชน อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนานโยบายสาธารณะที่มีผลต่อการสร้างสังคมที่มีความสุขต่อไป