จาก forward e-mail หนึ่งที่ได้รับมานั้น คนเขียนเขาให้ชื่อเรื่องนี้ว่า ..ไร้กรอบ..
เมื่ออ่านแล้วรู้สึกชอบมากๆ เพราะว่าเราได้ซาบซึ้งถึงกลิ่นไอของจิตวิญญาณบางอย่างที่ขาดหายไป ภายหลังการก้าวไปข้างหน้าของโลกทุนนิยม ที่ในแต่ละวันๆ เราต้องแข่งขันทั้งกับตนเอง และคนอื่น เพื่อให้ได้ไปเป็นคนๆ นี้ คนบนนั้น อะไรสักอย่าง แบบที่เราต้องการ เรื่องนี้ใครบ้างคนคงเคยได้อ่าน หรือได้ยินมาบ้างแล้วก้อเป็นได้ แต่มันเป็นเรื่องเล็กๆ ที่แสนประทับใจจึงอยากเอามาเล่าให้ฟังกัน (เผื่อว่า ยังมีใครไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง) เพราะความซาบซึ้งนี้ มันทำให้ได้สติ เพื่อจะเตือนตนเองอยู่เสมอๆ
เรื่องมีอยู่ว่า
***เคยได้ยินชื่อ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ ไหม??
เขาเคยเป็นวิศวกรขององค์การอวกาศนาซา ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน
เคยได้รับรางวัลงานวิจัยที่ดีที่สุดระดับโลกเกี่ยวกับเครื่องยนต์ไอพ่น
ตัดสินใจกลับเมืองไทยเพราะ
1.อยากดูแลพ่อแม่
2.ไม่อยากเป็นพลเมืองชั้นสองในบ้านพักคนชรา
3.อยากเที่ยว และ
4.ชอบกินอาหารอร่อย
เคยเป็นอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ก่อนจะออกมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาของตัวเอง
ประทับใจบทสัมภาษณ์ของ ดร.วรภัทรใน "เสาร์สวัสดี" ของ "กรุงเทพธุรกิจ "
เมื่อประมาณ 1-2 เดือนก่อนมาก
คนอะไรก็ไม่รู้ ชีวิตมันส์เป็นบ้า ความคิดก็กวนเหลือหลาย
ตอนที่เขาเป็นอาจารย์ วิธีการสอนหนังสือของเขาแปลกกว่าคนอื่น
"ผมออกนอกกรอบตลอดเวลา " เขาบอก
เขาเคยพาเด็กวิศวะไปที่ริมสระว่ายน้ำ เรียนไปและดูนิสิตสาว ๆ ว่ายน้ำไป
ด้วยคาดว่า คงไปเรียนเรื่อง "คลื่น"ระหว่างท่าฟรีสไตล์ กับท่าผีเสื้อ
คลื่นที่เกิดขึ้นของท่าไหนถี่กว่ากัน
และระหว่างชุดทูพีซกับวันพีซ "แรงเสียดทาน" กับน้ำ ชุดไหนมากกว่ากัน
แนวการศึกษาน่าจะออกไปทำนองนี้
แต่ที่ชอบที่สุดคือตอนที่เขาออกข้อสอบ ข้อสอบของเขาสั้นและกระชับมาก
"จงออกข้อสอบเอง พร้อมเฉลย"โหย...เด็กวิดวะอึ้งกันทั้งห้อง
คำตอบส่วนใหญ่เป็นการตั้งโจทย์แบบง่ายๆ เช่น ปั้นจั่นมีกี่ชนิด
ผลปรากฎว่าได้ศูนย์กันทั้งห้อง
เพราะเป็นคำตอบที่ไม่ได้แสดงความคิดที่ลึกซึ้งสมกับที่เรียนมาทั้งเทอม
เหตุผลที่ ดร.วรภัทรออกข้อสอบด้วยการให้นิสิตออกข้อสอบเองเป็นเหตุผลที่ตรงกับใจผมมาก
"ชีวิตคนเราจะรอให้อาจารย์ตั้งโจทย์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องหาโจทย์มาเอง คิดแล้วทำ ถ้าผิดแล้ว
อาจารย์จะปรับให้"เขามองว่า
"เด็กรุ่นใหม่ติดนิสัยเด็กกวดวิชา รอคนคาบทุกอย่างมาป้อนให้ไม่รู้จักคิดเอง"
"ถ้ารอและตั้งรับ คุณก็เป็นพวกอีแร้ง แต่พวกคุณแย่กว่าเพราะเป็นแค่ลูกอีแร้ง คือ รออาหารที่คนอื่น ป้อนให้"
โหย...เจ็บ เชื่อมานานแล้วว่า
...ชีวิตของคนเราเป็นข้อสอบอัตนัยที่ต้องตั้งโจทย์เองและตอบเอง ไม่ใช่ข้อสอบปรนัยที่มีคนตั้งโจทย์ และมีคำตอบเป็นทางเลือก ก-ข-ค-ง ถ้าใครที่คุ้นกับ "ชีวิตปรนัย"ที่มีคนตั้งโจทย์ให้และเสนอทางเลือก 1-2-3-4 คนคนนั้นชีวิตจะไม่ก้าวหน้า เพราะต้องพึ่งพาคนอื่นตลอดเวลาติดกับ "กรอบ" ที่คนอื่นสร้างให้ไม่เหมือนกับคนที่รู้จักคิดและตั้งคำถามเอง...
เรื่องการตั้งคำถามกับชีวิตเป็นเรื่องสำคัญมาก อย่าลืมว่า ...เพราะมี "คำถาม" จึงมี "คำตอบ" เมื่อมี "คำตอบ" เราจึงเลือกเดิน ...
พูดถึงเรื่องการตั้งคำถาม ผมนึกถึง"โสเครติส" เขาเป็นนักปรัชญาเอกของโลกที่สอนลูกศิษย์ด้วยการสนทนา
ตั้งคำถามให้ลูกศิษย์ตอบ
สร้างองค์ความรู้จาก "คำถาม"กลยุทธ์ของ "โสเครติส" ในการสอนคือ ไม่ให้ความเห็นใดๆ แก่นักเรียน และทำลายความมั่นใจของนักเรียนที่เชื่อว่าตนเองรู้
...."โสเครติส" เชื่อว่าเมื่อเด็กตระหนักใน "ความไม่รู้" ของตนเองเขาจะเริ่มต้นแสวงหา "ความรู้"....แต่ถ้า ....เด็กยังเชื่อมั่นว่าตนเองมี "ความรู้" เขาก็จะไม่แสวงหา "ความรู้"....
การตั้งคำถามของโสเครติส จึงมีเป้าหมายโจมตี และทำลายความเชื่อมั่นในภูมิความรู้ของนักเรียน
เป็นกลยุทธ์ที่เรียกว่า
....เท "น้ำ" ให้หมดจากแก้ว เมื่อแก้วไม่มีน้ำแล้ว จึงเริ่มให้เขาเท "น้ำ" ใหม่ใส่แก้วด้วยมือของเขาเอง...."น้ำ" ที่ลูกศิษย์แต่ละคนเทลงแก้วด้วยมือตัวเองมาจาก
"คำตอบ" ที่เขาค้นคิดขึ้นมาเอง
"คำตอบ" จาก "คำถาม"ของ "โสเครติส"
"โสเครติส" นิยามศัพท์คำว่า
"คนฉลาด" และ
"คนโง่" ได้อย่างน่าสนใจ
"คนฉลาด" ในมุมมองของ "โสเครติส" นั้นไม่ใช่คนที่
รู้ทุกเรื่องแต่ ...."คนฉลาด" คือ คนที่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ ....
ส่วน
...."คนโง่" นั้น คือคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ แต่ทำตัวราวกับเป็นผู้รู้ ....
***ไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้ผมยังมีความภาคภูมิใจใน "ความรู้" ของตนเองแต่พออ่านถึงบรรทัดนี้ทำไมผมเริ่มรู้สึกว่า ตัวเองไม่รู้อะไรเลย***
จริงๆ แล้ว มันเกิดคำถามขึ้นมาในหัวทันทีว่า ใบปริญญารับรององค์ความรู้ต่างๆ ที่ได้มานั้น มัน confirm ได้เปล่าว่า เรารู้จริงๆ เพราะตราบเท่าที่โลกมันไม่หยุดนิ่ง สิ่งที่เราเรียนรู้ว่า ถูกต้อง ใช่ และดีในวันนี้ มันอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ผิด ไม่ถูกต้องในวันพรุ่งนี้ ตราบเท่าที่การค้นหา และการค้นพบไม่สิ้นสุดลง
การเรียนที่สูงขึ้นๆ นั้น มันเป็นเพียงแค่หลักสูตรหนึ่งที่ ทำให้เราฝึกฝนตนเอง ให้มีทักษะในการค้นหา เพื่อพัฒนา ปรับปรุงสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ ฝึกให้เราอดทน ฝึกให้เราคิดและค้นหาต่อไปเลยๆ ไม่ใช่ทรนงกับสิ่งที่มีอยู่ หรือได้มา หรือเปล่า เพราะตราบเท่าที่ การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อคิดที่จะเรียนรู้ ดังนั้นแล้ว ใบปริญญาที่เราภาคภูมิใจกันหนักหนาว่า เราได้มาจากความยากลำบากนั้น มันอาจเป็นแค่ใบเบิกทางสู่ชีวิตในวันข้างหน้า และการตามหาความฝันของเรา เท่านั้น
อืม เกือบลืมเล่าให้ฟังจริงๆ แล้วมีรุ่นพี่คนหนึ่ง เขาเป็นคนที่ทำให้เรารู้ได้ว่า คนที่ดำเนินชีวิตตามความฝันของตนเอง และเรียนรู้ เพียงเพราะแค่อยากรู้ มันเป็นยังไง
พี่เค้าไม่เคยสนใจว่า อาจารย์จะให้เกรดเท่าไร?
จะสอบตกหรือเปล่า?
หรือใครจะมองยังไง?
แต่เค้าจะบอกแค่ว่า พี่สนใจเพราะที่อยากรู้ และพี่ก้อมีความสุขกับการเรียนรู้มัน แค่ไหน
พี่ไม่ใช่คนที่สอบได้ Top
พี่ไม่ใช่คนที่เป็นคนที่พูดให้คนอื่นๆ ฟัง
แต่พี่เป็นคนที่โด่ดเด่นในสายตาของพวกเรา เพราะเขาเป็น model ที่ดี ของคนที่แรงจูงใจในการเรียนรู้ ค้นคว้าหาความรู้
มันเป็นความรู้สึก ดีใจมากๆ ที่ความฝันของเค้า คือการเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เพราะนั่นหมายความว่า จะมีกลุ่มคนที่โชคดีมากๆ กับทรัพยากรบุคคลผู้นี้ เพราะเขากับหัวใจของเขา มันคงจะรังสรรค์ความสวยงามให้เกิดขึ้น แก่คนอื่นๆ ได้อีกมากมาย
p.s. ขอบคุณนะคะพี่ ที่เป็นหนึ่งในตัวเดินเรื่องในครั้งนี้ และก้อขอบคุณคนที่ส่งเมล์ฉบับนี้มา ที่ได้แบ่งปันความรู้สึกดีๆ ให้กัน ขอบคุณที่ดร.วรภัทร และโสเครติส ที่ทำให้โลกใบนี้สวยงาม